นักคิดและปัญญาชนที่ให้กำเนิดสกุลความคิดแบบหลังโครงสร้าง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับการติดป้ายชื่อว่าเป็นพวกนักคิดแบบหลังโครงสร้าง
แต่พวกเขาก็ได้รับการติดป้ายชื่อไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนใหญ่ของนักคิดที่โดดเด่นเป็นชาวฝรั่งเศส
และเป็นผลผลิตอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองของฝรั่งเศสครั้งสำคัญ
เมื่อปี พ.ศ. 1968
สมัยประธานาธิบดี ชาร์ล เดอร์โกลซึ่งปกครองแบบเผด็จการ
ช่วงเวลานั้นได้มีการชุมนุมประท้วงสำคัญๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งส่งผลต่อนักคิดนักวิชาการฝรั่งเศส
และจากความไม่พอใจจากสภาพสังคมการเมืองที่เป็นอยู่นำไปสู่การสร้างผลงานวิชาการชิ้นสำคัญๆ
ที่ปรับเปลี่ยน “ภูมิสถาปัตยกรรมทางปัญญา” ชนิดสะเทือนวงการ เพราะไปทะลายวิธีคิดแบบ “อภิปรัชญา”
ที่เชื่อในเรื่อง “การดำรงอยู่/การมีอยู่”
(being) อันเป็นวิธีคิดแบบตัดข้ามเวลา/สถานที่
เช่น ความคิดในเรื่อง “อดีต/ปัจจุบัน/อนาคต” แต่นักคิดในแนวหลังโครงสร้างมีแนวคิดที่แตกต่างออกไปในหลายๆ ประเด็น
ประการแรก
สกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างต้องการปะทะกับวิธีคิดแบบคู่ตรงข้าม (binary
opposition) อันมีรากฐานมาจากความเชื่อในการมีอยู่ เป็นอยู่
และดำรงอยู่ นำไปสู่การคิดแบบคู่ตรงข้ามของสรรพสิ่งมากมาย เช่น สูง-ต่ำ, ข้างนอก-ข้างใน, คนนอก-คนใน, ในประเทศ-ต่างประเทศ, ตัวตน-ความเป็นอื่น, เอกลักษณ์-ความแตกต่าง, จริง-เท็จ, สำเนา- ต้นฉบับ, เรื่องส่วนตัว-เรื่องสาธารณะ รวมถึงรูปสัญญะและความหมายสัญญะในกรณีของภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างของ
แฟรดิน็อง
เดอโซร์ซู สำหรับนักคิดแนวหลังโครงสร้างแล้วนั้น
วิธีคิดแบบคู่ตรงข้ามเป็นวิธีคิดของการเก็บกด/ปิดกั้นไม่มีพื้นที่ให้กับความเฉพาะเจาะจง
ประการที่สอง ความคิดก็ดี
ทฤษฎีก็ดี ตัววิชาความรู้ก็ดี วิชาการก็ดี
ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีความเป็นกลางแต่อย่างใด
หากทว่ามันยังมีอำนาจของความรู้อยู่เต็มไปหมด ดังคำพูดของ มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, ค.ศ.
1962-1984)
นักปรัชญาและทฤษฎีสังคมสกุลความคิดหลังโครงสร้างผู้ลือชื่อในงาน “การสอดส่องควบคุมและลงฑัณฑ์: กำเนิดคุก” (1975) ที่ว่า
“จำต้องยืนยันว่าอำนาจก่อให้เกิดความรู้, ว่าอำนาจกับความรู้มีนัยเกี่ยวพันสืบเนื่องซึ่งกันและกันโดยตรง, ว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางอำนาจใดๆ ที่ไม่ประกอบส่วนสร้างสาขาวิชาความรู้ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหนึ่งๆ
ขึ้นมา, และในทางกลับกันก็ไม่มีความรู้ใดที่ไม่ตั้งอยู่บนสมมติฐานของหรือประกอบส่วนสร้างขึ้นซึ่งความสัมพันธ์ทางอำนาจด้วยในเวลาเดียวกัน” ในแง่นี้
ความรู้ก็คืออำนาจที่ได้รับการซักฟอกจนขาวสะอาดและมันก็ปรากฏออกมาในรูปที่ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องของอำนาจ
ประการที่สาม สกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างไม่มีการแยกระหว่าง
“subject”
กับ “object” และเห็นว่าการแยกเป็นเพียงเรื่องของการทำงานของภาษา
ตัวอย่างเช่น มนุษย์เมื่อไปยืนกลางถนน มนุษย์ก็กลายเป็นเพียง “วัตถุกีดขวางทางจราจร”
และหากมนุษย์ผู้เดียวกันนี้ไปร่วมกัน “เผาบ้านเผาเมือง”
เขาก็จะกลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ในแง่นี้ จะเห็นได้ว่าความเข้าใจของสกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างเกี่ยวกับมนุษย์มันจึงเป็นเพียงรอยย่น/รอยยับของการรับรู้ของยุคสมัยหรือของหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น
ประการที่สี่ สกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างไม่เชื่อในจุดนิ่งๆ
(fixpoint) ไม่เชื่อในจุดกำเนิด (origin) ปฏิเสธความจริง
และเห็นว่าความจริงเป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นมา
และตั้งข้อสงสัยกับเรื่องเหล่านี้
อีกทั้งยังโต้แย้งว่าทั้งหมดนี้ก็แค่ผลผลิตที่มาจากความรู้ความเข้าใจแบบหนึ่งๆ
ซึ่งเอาข้าจริงๆ แล้วก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นจริงเหนือกว่าความจริงแบบอื่นๆ ตรงไหน
อย่างไร
สกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างเชื่อในเรื่องของกระบวนการในการสร้างความหมาย
สนใจกระบวนการในการสร้างความหมายในตัวบท (text)
ผ่านกระบวนการในการทำงานของตัวบท
อีกทั้งยังเป็นวิธีการศึกษาที่ไม่เชื่อในเรื่องของความลึกของตัวบทอย่างศาสตร์การตีความ
แต่เชื่อว่าทุกอย่างปรากฏอยู่ที่ผิวหน้า (text as text)
ที่แสดงออกมาในรูปของภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม (discursive practice) เน้นเรื่องความเบา และการสลายเส้นแบ่งเพื่อตัดข้ามเส้นแบ่งใหม่ เช่น
การศึกษาในแบบลักษณะคนไข้จิตเภทที่ไม่ติดกรอบกฎเกณฑ์ใดๆ
ประการที่ห้า วิธีการหาความรู้แนวหลังโครงสร้างนิยมมุ่งสร้างผลกระทบเชิงตัวบท
(textual effect) หมายความว่า
ทุกครั้งที่เราอ่านตัวบทจบมันได้เปลี่ยนความรู้และการรับรู้ของตัวเราในลักษณะ “ปะทะ” (encounter) อย่างในงานศึกษาภาพยนตร์เล่มที่
2 ของเดอเลิซ กล่าวคือ
บังคับให้คนดูต้องคิดอย่างหนัก และเราจะกลายเป็นคนอื่นไปหลังจากดูจบ เรียกได้ว่า
มันบังคับให้เราคิดถึงอย่างอื่น เกิดภาพในความคิดหรือ “ภาพลักษณ์ของความคิด”
(the image of thought) อย่างการชมภาพยนตร์สงครามแล้วมีนัยประหวัดคิดไปถึงภาพของสันติภาพและสันติสุข
เป็นต้น
ผู้ที่สนใจอยากค้นคว้าเพิ่มเติม หาอ่านได้จากบทความชิ้นนี้
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์. 2544. “โพสท์โมเดิร์นคืออะไร: จากปฏิกิริยาแบบมาร์กซ์สู่การเมืองแบบปฏิบัตินิยม” ทฤษฎีและความรู้ในยุคโลกาภวัตน์. กรุงเทพฯ: สถาบันวิถีทรรศน์. หน้า 169-170.
No comments:
Post a Comment