Saturday, June 14, 2014

สาระสำคัญของวิธีการหาความรู้แนวหลังโครงสร้างนิยม

           
           นักคิดและปัญญาชนที่ให้กำเนิดสกุลความคิดแบบหลังโครงสร้าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับการติดป้ายชื่อว่าเป็นพวกนักคิดแบบหลังโครงสร้าง แต่พวกเขาก็ได้รับการติดป้ายชื่อไปเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่ของนักคิดที่โดดเด่นเป็นชาวฝรั่งเศส และเป็นผลผลิตอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมืองของฝรั่งเศสครั้งสำคัญ เมื่อปี พ.ศ. 1968 สมัยประธานาธิบดี ชาร์ล เดอร์โกลซึ่งปกครองแบบเผด็จการ 

           ช่วงเวลานั้นได้มีการชุมนุมประท้วงสำคัญๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งส่งผลต่อนักคิดนักวิชาการฝรั่งเศส และจากความไม่พอใจจากสภาพสังคมการเมืองที่เป็นอยู่นำไปสู่การสร้างผลงานวิชาการชิ้นสำคัญๆ ที่ปรับเปลี่ยน ภูมิสถาปัตยกรรมทางปัญญา ชนิดสะเทือนวงการ เพราะไปทะลายวิธีคิดแบบ อภิปรัชญาที่เชื่อในเรื่อง การดำรงอยู่/การมีอยู่(being) อันเป็นวิธีคิดแบบตัดข้ามเวลา/สถานที่ เช่น ความคิดในเรื่อง อดีต/ปัจจุบัน/อนาคตแต่นักคิดในแนวหลังโครงสร้างมีแนวคิดที่แตกต่างออกไปในหลายๆ ประเด็น
            ประการแรก สกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างต้องการปะทะกับวิธีคิดแบบคู่ตรงข้าม (binary opposition) อันมีรากฐานมาจากความเชื่อในการมีอยู่ เป็นอยู่ และดำรงอยู่ นำไปสู่การคิดแบบคู่ตรงข้ามของสรรพสิ่งมากมาย เช่น สูง-ต่ำ, ข้างนอก-ข้างใน, คนนอก-คนใน, ในประเทศ-ต่างประเทศ, ตัวตน-ความเป็นอื่น, เอกลักษณ์-ความแตกต่าง, จริง-เท็จ, สำเนา- ต้นฉบับ, เรื่องส่วนตัว-เรื่องสาธารณะ รวมถึงรูปสัญญะและความหมายสัญญะในกรณีของภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้างของ แฟรดิน็อง 
เดอโซร์ซู สำหรับนักคิดแนวหลังโครงสร้างแล้วนั้น วิธีคิดแบบคู่ตรงข้ามเป็นวิธีคิดของการเก็บกด/ปิดกั้นไม่มีพื้นที่ให้กับความเฉพาะเจาะจง
            ประการที่สอง ความคิดก็ดี ทฤษฎีก็ดี ตัววิชาความรู้ก็ดี วิชาการก็ดี ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มีความเป็นกลางแต่อย่างใด หากทว่ามันยังมีอำนาจของความรู้อยู่เต็มไปหมด ดังคำพูดของ   มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault, ค.ศ. 1962-1984) นักปรัชญาและทฤษฎีสังคมสกุลความคิดหลังโครงสร้างผู้ลือชื่อในงาน การสอดส่องควบคุมและลงฑัณฑ์: กำเนิดคุก(1975) ที่ว่า
            จำต้องยืนยันว่าอำนาจก่อให้เกิดความรู้, ว่าอำนาจกับความรู้มีนัยเกี่ยวพันสืบเนื่องซึ่งกันและกันโดยตรง, ว่าไม่มีความสัมพันธ์ทางอำนาจใดๆ ที่ไม่ประกอบส่วนสร้างสาขาวิชาความรู้ที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันหนึ่งๆ ขึ้นมา, และในทางกลับกันก็ไม่มีความรู้ใดที่ไม่ตั้งอยู่บนสมมติฐานของหรือประกอบส่วนสร้างขึ้นซึ่งความสัมพันธ์ทางอำนาจด้วยในเวลาเดียวกัน  ในแง่นี้ ความรู้ก็คืออำนาจที่ได้รับการซักฟอกจนขาวสะอาดและมันก็ปรากฏออกมาในรูปที่ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องของอำนาจ
            ประการที่สาม สกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างไม่มีการแยกระหว่าง “subject” กับ “object” และเห็นว่าการแยกเป็นเพียงเรื่องของการทำงานของภาษา ตัวอย่างเช่น มนุษย์เมื่อไปยืนกลางถนน มนุษย์ก็กลายเป็นเพียง วัตถุกีดขวางทางจราจรและหากมนุษย์ผู้เดียวกันนี้ไปร่วมกัน เผาบ้านเผาเมืองเขาก็จะกลายเป็น ผู้ก่อการร้าย”  ในแง่นี้ จะเห็นได้ว่าความเข้าใจของสกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างเกี่ยวกับมนุษย์มันจึงเป็นเพียงรอยย่น/รอยยับของการรับรู้ของยุคสมัยหรือของหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น
            ประการที่สี่ สกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างไม่เชื่อในจุดนิ่งๆ (fixpoint) ไม่เชื่อในจุดกำเนิด (origin) ปฏิเสธความจริง และเห็นว่าความจริงเป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นมา และตั้งข้อสงสัยกับเรื่องเหล่านี้ อีกทั้งยังโต้แย้งว่าทั้งหมดนี้ก็แค่ผลผลิตที่มาจากความรู้ความเข้าใจแบบหนึ่งๆ ซึ่งเอาข้าจริงๆ แล้วก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นจริงเหนือกว่าความจริงแบบอื่นๆ ตรงไหน อย่างไร
สกุลความคิดแบบหลังโครงสร้างเชื่อในเรื่องของกระบวนการในการสร้างความหมาย สนใจกระบวนการในการสร้างความหมายในตัวบท (text) ผ่านกระบวนการในการทำงานของตัวบท อีกทั้งยังเป็นวิธีการศึกษาที่ไม่เชื่อในเรื่องของความลึกของตัวบทอย่างศาสตร์การตีความ แต่เชื่อว่าทุกอย่างปรากฏอยู่ที่ผิวหน้า (text as text) ที่แสดงออกมาในรูปของภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม (discursive practice) เน้นเรื่องความเบา และการสลายเส้นแบ่งเพื่อตัดข้ามเส้นแบ่งใหม่ เช่น การศึกษาในแบบลักษณะคนไข้จิตเภทที่ไม่ติดกรอบกฎเกณฑ์ใดๆ
           ประการที่ห้า วิธีการหาความรู้แนวหลังโครงสร้างนิยมมุ่งสร้างผลกระทบเชิงตัวบท (textual effect) หมายความว่า ทุกครั้งที่เราอ่านตัวบทจบมันได้เปลี่ยนความรู้และการรับรู้ของตัวเราในลักษณะ ปะทะ(encounter) อย่างในงานศึกษาภาพยนตร์เล่มที่ 2 ของเดอเลิซ กล่าวคือ บังคับให้คนดูต้องคิดอย่างหนัก และเราจะกลายเป็นคนอื่นไปหลังจากดูจบ เรียกได้ว่า มันบังคับให้เราคิดถึงอย่างอื่น เกิดภาพในความคิดหรือ ภาพลักษณ์ของความคิด (the image of thought) อย่างการชมภาพยนตร์สงครามแล้วมีนัยประหวัดคิดไปถึงภาพของสันติภาพและสันติสุข เป็นต้น

ผู้ที่สนใจอยากค้นคว้าเพิ่มเติม หาอ่านได้จากบทความชิ้นนี้

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์. 2544. โพสท์โมเดิร์นคืออะไร: จากปฏิกิริยาแบบมาร์กซ์สู่การเมืองแบบปฏิบัตินิยม ทฤษฎีและความรู้ในยุคโลกาภวัตน์. กรุงเทพฯ: สถาบันวิถีทรรศน์. หน้า 169-170. 

No comments:

Post a Comment