Thursday, April 10, 2025

ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย

 

  1. พลวัตของสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน
  2. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  3. การพุ่งสูงขึ้นของการส่งออกของจีนและการเปลี่ยนทิศทางของตลาด
  4. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมจีน
  5. วิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งทอในอินโดนีเซีย
  6. การลดลงของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซีย
  7. ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย
  8. การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนิกเกิลในอินโดนีเซีย
  9. ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์ของอาเซียน
  10. ผลกระทบและการตอบสนองต่อการค้าโลก

7) ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย

ภาคยานยนต์ของประเทศไทย ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" เผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2024 อันเป็นผลจากสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน เช่น BYD อุตสาหกรรมนี้ ซึ่งเคยเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ หดตัวลงเกือบ 30% จากกำลังการผลิตสูงสุดที่ 2.4 ล้านคันในปี 2012 เหลือเพียง 1.4 ล้านคันในปี 2024 (Kriangkrai, 2025) การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังเผยให้เห็นความเปราะบางของโครงสร้างอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการลงทุนจากญี่ปุ่นและการส่งออกไปยังตลาดโลก การวิเคราะห์นี้จะแบ่งเป็นหัวข้อย่อยเพื่อสำรวจมิติต่างๆ ของความท้าทายนี้อย่างเป็นระบบ

7.1) การหดตัวของกำลังการผลิตและการปิดโรงงาน

การลดลงของการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจาก 2.4 ล้านคันในปี 2012 สู่ 1.4 ล้านคันในปี 2024 เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนถึงวิกฤตในภาคยานยนต์ การหดตัวนี้สัมพันธ์กับการถอนตัวของผู้ผลิตรายใหญ่จากญี่ปุ่น เช่น Subaru และ Suzuki ในปี 2023 และการปิดโรงงานหนึ่งแห่งของ Nissan ในปี 2024 (CNA Insider, 2025) สาเหตุหลักมาจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น ซึ่งครองตลาดไทยมานานกว่า 40 ปี ผ่านการลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในจังหวัดระยอง ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับความต้องการที่เปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ไทยสูญเสียตำแหน่งผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

7.2) การแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าของจีน

การเข้ามาของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน โดยเฉพาะ BYD ซึ่งเปิดโรงงานมูลค่า 490 ล้านดอลลาร์สหรัฐในระยองเมื่อปี 2024 ได้เปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โรงงานนี้มีกำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี และเน้นการประกอบชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ในท้องถิ่น (CNA Insider, 2025) รถยนต์ไฟฟ้าจีนที่มีราคาถูกและเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติและส่วนประกอบที่น้อยลง ได้ลดความต้องการรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งเป็นจุดแข็งของผู้ผลิตญี่ปุ่นในไทย ตัวอย่างเช่น ตลาดส่งออกสำคัญของไทย เช่น ออสเตรเลีย ซึ่งเคยพึ่งพารถกระบะจากไทย หันไปใช้ EV จากจีนแทน ส่งผลให้การส่งออกของไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

7.3) ผลกระทบต่อการจ้างงานและห่วงโซ่อุปทาน

ภาคยานยนต์ไทยจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณ 1 ล้านคน (Kriangkrai, 2025) การเปลี่ยนผ่านสู่ EV ซึ่งใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้นและต้องการชิ้นส่วนน้อยลง ทำให้การจ้างงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด โรงงานของ BYD ถึงแม้จะสร้างงาน 10,000 ตำแหน่ง แต่ไม่สามารถทดแทนการสูญเสียงานจากโรงงานญี่ปุ่นที่ปิดตัวได้ ตามที่ศาสตราจารย์เกรียงไกร (2025) ระบุว่า การผลิต EV ใช้ "หุ่นยนต์มากขึ้น คนน้อยลง" ซึ่งขัดแย้งกับโครงสร้างการจ้างงานแบบดั้งเดิมของไทย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) กว่า 1,700 รายที่เป็นซัพพลายเออร์ให้ญี่ปุ่นเผชิญความเสี่ยงจากการที่ห่วงโซ่อุปทานของ ICE ค่อยๆ ล้าสมัย การเปลี่ยนไปสู่ EV ต้องใช้เวลาและการลงทุนมหาศาล ซึ่ง SMEs เหล่านี้มักขาดแคลนทรัพยากรในการปรับตัว

7.4) การเปลี่ยนผ่านสู่ศูนย์กลางการผลิต EV

ประเทศไทยพยายามปรับตัวโดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาค การลงทุนของ BYD และนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียวสะท้อนถึงความพยายามนี้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้เผชิญอุปสรรคทั้งด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน การผลิต EV ต้องการความรู้เฉพาะทางและระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่แตกต่างจาก ICE เช่น การพัฒนาโรงงานแบตเตอรี่และสถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น (CNA Insider, 2025) การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องเผชิญกับ "ความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนผ่าน" ตามที่ระบุในสารคดีว่า "ไม่มีเจ็บปวด ไม่มีผลได้" (CNA Insider, 2025) ซึ่งหมายถึงการสูญเสียในระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว

7.5) ผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และจีน

สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีนมีส่วนซ้ำเติมความท้าทายของภาคยานยนต์ไทย ภาษีสหรัฐฯ ที่สูงถึง 54% ต่อสินค้าจีนกระตุ้นให้จีนผลักดัน EV สู่ตลาดอื่น รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อผู้ผลิตไทย ในขณะเดียวกัน การที่สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญของอาเซียนในปี 2024 (CNA Insider, 2025) แต่มีนโยบายปกป้องมากขึ้น ทำให้โอกาสในการส่งออกยานยนต์จากไทยไปสหรัฐฯ ลดลง การพึ่งพาตลาดส่งออก เช่น ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ และแอฟริกา ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของไทย กลายเป็นจุดอ่อนเมื่อเผชิญการแข่งขันจากจีนและข้อจำกัดทางการค้า

7.6) ความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการ

ผู้ประกอบการในไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการลงทุน รถยนต์สมัยใหม่ โดยเฉพาะ EV ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะ แต่เป็น "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และความบันเทิง" (CNA Insider, 2025) การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการนวัตกรรม เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบเชื่อมต่อ ซึ่งญี่ปุ่นและไทยตามหลังจีนอย่างมาก ผู้ประกอบการ SMEs ต้อง "คิดค้นตัวเองใหม่" เพื่อคงความเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน EV แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ใช้เวลานานและมีต้นทุนสูง ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในระยะสั้นต่อทั้งผู้ผลิตและแรงงาน

7.7) อนาคตของภาคยานยนต์ไทย: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

ถึงแม้จะเผชิญความท้าทาย ประเทศไทยมีศักยภาพในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ความรู้และประสบการณ์จากการเป็นศูนย์กลางยานยนต์กว่า 40 ปี รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานในระยอง สามารถใช้เป็นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรม EV การลงทุนจากจีน เช่น BYD และการสนับสนุนจากรัฐบาลในการสร้างระบบนิเวศ EV อาจช่วยให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์สีเขียวในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถในการลดการพึ่งพาญี่ปุ่น และการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่


สรุป

ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทยสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ลึกซึ้ง อันเป็นผลจากสงครามภาษีโลก การแข่งขันจากจีน และการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยี EV การหดตัวของการผลิตและการสูญเสียงานเผยให้เห็นความเปราะบางของโมเดลอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ขณะที่การลงทุนจากจีนและนโยบายของรัฐบาลเปิดโอกาสใหม่ การปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นบททดสอบความยืดหยุ่นของประเทศไทยในยุคที่ "ว่ายทวนน้ำ" กลายเป็นเงื่อนไขแห่งการอยู่รอด (CNA Insider, 2025)

No comments:

Post a Comment