การวิเคราะห์การเดินหมากของจีน ในสงครามการค้า
การวิเคราะห์การเดินหมากของจีนในสงครามการค้าด้านภาษีกับสหรัฐฯ จากมุมมองของนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์สงครามทางเศรษฐกิจ สามารถเปรียบได้กับการเล่นหมากล้อม (Go) ที่เน้นการวางหมากอย่างรอบคอบเพื่อครอบครองพื้นที่และสร้างความได้เปรียบในระยะยาว จีนภายใต้การนำของสีจินผิงแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการความขัดแย้งนี้ด้วยกลยุทธ์ที่ซับซ้อนและมองการณ์ไกล โดยผสมผสานความยืดหยุ่นทางยุทธวิธีเข้ากับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งรักษาอำนาจและอิทธิพลในระบบเศรษฐกิจโลก การวิเคราะห์ต่อไปนี้จะแยกประเด็นสำคัญเพื่อชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของจีนในมิติต่างๆ พร้อมทั้งประเมินว่าทำไมสีจินผิงอาจดูเหมือนได้เปรียบในบริบทนี้
ประเด็นการวิเคราะห์การเดินหมากของจีน
1. การเพิ่มภาษีอย่างเด็ดขาด: การส่งสัญญาณความแข็งแกร่ง
จีนตัดสินใจเพิ่มภาษีจาก 84% เป็น 125% ซึ่งมีผลทันทีตั้งแต่วันเสาร์ (ตามข้อมูลจาก DW News) การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงเป็นการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมที่จะยกระดับความขัดแย้ง ในแง่ยุทธศาสตร์สงครามทางเศรษฐกิจ การเพิ่มภาษีครั้งนี้เปรียบเสมือนการวางหมากในจุดยุทธศาสตร์บนกระดานหมากล้อม เพื่อยึดพื้นที่และบีบให้คู่ต่อสู้ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางจิตวิทยาและเศรษฐกิจ การที่จีนเลือกอัตราภาษีที่สูงและชัดเจน แสดงถึงความตั้งใจที่จะกำหนดเงื่อนไขของการเจรจาและเปลี่ยนการรับรู้ของนานาชาติเกี่ยวกับบทบาทของจีนในฐานะมหาอำนาจที่ไม่ยอมจำนน
การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Thomas Schelling (1960) ใน The Strategy of Conflict ซึ่งเน้นว่าการส่งสัญญาณที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือในสถานการณ์ความขัดแย้งสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคู่ต่อสู้ได้ จีนใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการสื่อสารว่า สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นหากยังคงยกระดับความขัดแย้ง ซึ่งอาจบังคับให้สหรัฐฯ ทบทวนกลยุทธ์ของตน
2. การปฏิเสธการตอบโต้แบบค่อยเป็นค่อยไป: การเปลี่ยนกฎของเกม
จีนประกาศว่าจะไม่ตอบโต้การเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ ในอนาคตแบบ “ทีละขั้น” โดยโฆษกของจีนถึงกับเรียกกระบวนการนี้ว่า “เรื่องตลก” การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนจากยุทธวิธีตอบโต้แบบสมมาตรไปสู่การกำหนดจุดยืนที่เป็นอิสระมากขึ้น ในมุมมองของหมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการเลือกที่จะไม่ตามน้ำคู่ต่อสู้ในทุกกระดานย่อย แต่หันไปวางหมากในจุดที่สร้างความได้เปรียบในภาพรวม เช่น การรักษาเสถียรภาพภายในและการขยายอิทธิพลในภูมิภาคอื่น
การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การปฏิเสธการตอบโต้แบบค่อยเป็นค่อยไปแสดงถึงความเข้าใจในทฤษฎีเกม (Game Theory) โดยเฉพาะแนวคิดของ “การเปลี่ยนกรอบ” (reframing) ซึ่งจีนพยายามกำหนดกฎใหม่ของการต่อสู้ แทนที่จะติดอยู่ในวงจรของการตอบโต้ไม่รู้จบ ซึ่งอาจทำให้ทั้งสองฝ่ายเสียหาย จีนเลือกที่จะถอนตัวจากเกมย่อยนี้เพื่อมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายระยะยาว เช่น การรักษาความเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานโลกและการสร้างพันธมิตรทางการค้าทางเลือก (Kaplan, 2019)
3. การอ้างเครดิตจากความสำเร็จ: การควบคุมการเล่าเรื่อง
จีนระบุว่าการตัดสินใจของทรัมป์ในการ “หยุดชั่วคราว” การเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ เป็นผลมาจากแรงกดดันจากจีน การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ภายในประเทศ แต่ยังเป็นการกำหนดการเล่าเรื่อง (narrative) ในระดับนานาชาติว่า จีนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ ในเกมหมากล้อม การอ้างเครดิตนี้เปรียบเสมือนการวางหมากเพื่อ “ล้อม” ความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้ โดยทำให้สหรัฐฯ ดูเหมือนเป็นฝ่ายที่ยอมถอย
การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การควบคุมการเล่าเรื่องนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Joseph Nye (2004) เกี่ยวกับ soft power ซึ่งเน้นการใช้การสื่อสารและภาพลักษณ์เพื่อสร้างอิทธิพล จีนใช้โอกาสนี้เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมของตนในฐานะผู้เล่นที่สามารถกำหนดทิศทางของความขัดแย้งได้ โดยเฉพาะในสายตาของประเทศกำลังพัฒนาและพันธมิตรที่อาจลังเลระหว่างการเลือกข้างสหรัฐฯ หรือจีน
4. การใช้ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ: การรับแรงกระแทก
จีนแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการ “รับแรงกระแทก” (take it on the chin) จากผลกระทบของสงครามการค้า ด้วยบทบาทในฐานะผู้ผลิตชั้นนำของโลกและเศรษฐกิจที่มีการควบคุมโดยรัฐ จีนสามารถเปลี่ยนทิศทางการส่งออกไปยังตลาดอื่น เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือยุโรป และบริหารจัดการผลกระทบภายในผ่านนโยบายการเงินและการคลัง ในแง่หมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการเสียหมากบางตัวในพื้นที่ย่อยเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของโครงสร้างโดยรวม
การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: ความยืดหยุ่นนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Barry Naughton (2021) ซึ่งชี้ว่าจีนมี “ความลึกเชิงยุทธศาสตร์” (strategic depth) จากโครงสร้างเศรษฐกิจที่หลากหลายและการควบคุมโดยรัฐ ความสามารถในการดูดซับความสูญเสียในระยะสั้นช่วยให้จีนสามารถรักษาการโจมตีในระยะยาวได้ ซึ่งต่างจากสหรัฐฯ ที่เผชิญกับแรงกดดันจากความผันผวนของตลาดและความอ่อนไหวของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
5. การกำหนดเป้าหมายระยะยาว: การครองความเป็นผู้นำในระบบโลก
การตัดสินใจของจีนในการยกระดับภาษีและปฏิเสธการตอบโต้แบบสมมาตรสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวในการรักษาความเป็นผู้นำในระบบเศรษฐกิจโลก จีนมุ่งเน้นไปที่การปกป้องห่วงโซ่อุปทาน การลงทุนในเทคโนโลยี และการสร้างเครือข่ายการค้าทางเลือก เช่น ผ่านข้อตกลง RCEP หรือ Belt and Road Initiative ในบริบทของหมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการวางหมากเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ต่างๆ บนกระดาน สร้างโครงสร้างที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นในระยะยาว
การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การมุ่งเน้นระยะยาวนี้สอดคล้องกับทฤษฎีของ Robert Gilpin (1987) ใน The Political Economy of International Relations ซึ่งระบุว่ามหาอำนาจที่กำลังเติบโตจะพยายามปรับโครงสร้างระบบโลกให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน จีนใช้สงครามการค้าเป็นโอกาสในการเร่งกระบวนการนี้ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และเสริมสร้างความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ
6. การใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของสหรัฐฯ: การโจมตีจุดอ่อน
จีนตระหนักดีถึงความเปราะบางของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความอ่อนไหวของตลาดหุ้นและความกดดันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การเพิ่มภาษีของจีนส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดโลก รวมถึงการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ในบริบทหมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เปรียบเสมือนการวางหมากเพื่อตัดเส้นทางของคู่ต่อสู้ ทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาแนวรบทั้งในและนอกประเทศ
การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การโจมตีจุดอ่อนนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Sun Tzu ใน The Art of War ซึ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของศัตรู จีนใช้ภาษีเป็นอาวุธเพื่อเพิ่มต้นทุนทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ เผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอย (Eichengreen, 2008)
7. การสร้างพันธมิตรทางเลือก: การขยายอิทธิพล
จีนใช้สงครามการค้าเป็นโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชีย แอฟริกา และยุโรป การเยือนของผู้นำสเปน เปโดร ซานเชซ ต่อประธานาธิบดีสีจินผิงในกรุงปักกิ่ง (ตามที่ระบุใน DW News) แสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการสร้างเครือข่ายการค้าทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ ในแง่หมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการวางหมากเพื่อสร้าง “ดวงตา” (eyes) หรือพื้นที่ปลอดภัยที่คู่ต่อสู้ไม่สามารถรุกล้ำได้
การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การขยายอิทธิพลนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Dependency Theory (Wallerstein, 2004) ซึ่งจีนพยายามลดการพึ่งพาเศรษฐกิจตะวันตกโดยการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับประเทศกำลังพัฒนา การกระทำนี้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ แต่ยังเพิ่มอำนาจต่อรองของจีนในเวทีโลก
เหตุใดสีจินผิงอาจได้เปรียบ: มุมมองเปรียบเทียบในบริบทหมากล้อม
ความคิดของคุณที่ว่าสีจินผิงได้เปรียบและการเปรียบเทียบกับหมากล้อมนั้นมีความสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง หมากล้อมเป็นเกมที่เน้นการควบคุมพื้นที่มากกว่าการทำลายคู่ต่อสู้โดยตรง ซึ่งตรงกับแนวทางของจีนในสงครามการค้านี้ เหตุผลที่สีจินผิงอาจดูเหมือนได้เปรียบมีดังนี้:
- ความอดทนและการมองการณ์ไกล: จีนเล่นเกมระยะยาวโดยเน้นการรักษาเสถียรภาพภายในและการขยายอิทธิพลในระดับโลก ขณะที่สหรัฐฯ เผชิญกับแรงกดดันระยะสั้นจากความผันผวนของตลาดและการเมืองภายใน ความอดทนนี้เปรียบเสมือนการวางหมากอย่างใจเย็นเพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมในหมากล้อม
- โครงสร้างการตัดสินใจที่รวมศูนย์: ระบบการปกครองของจีนช่วยให้สีจินผิงสามารถกำหนดนโยบายได้อย่างรวดเร็วและสอดประสานกัน ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและสภาคองเกรส รวมถึงความกดดันจากสาธารณะ ในหมากล้อม การมี “ผู้เล่น” ที่ตัดสินใจได้อย่างเป็นเอกภาพช่วยให้สามารถควบคุมทิศทางของเกมได้ดีกว่า
- ความหลากหลายของแนวรบ: จีนไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่การค้าทวิภาคีกับสหรัฐฯ แต่ขยายแนวรบไปยังการลงทุนในเทคโนโลยี (เช่น 5G และ AI) และการสร้างพันธมิตรผ่านข้อตกลงระหว่างประเทศ ในหมากล้อม การกระจายหมากไปในหลายพื้นที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีในจุดเดียว
- การใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของคู่ต่อสู้: จีนตระหนักดีว่าสหรัฐฯ มีจุดอ่อนในด้านความไวต่อความผันผวนของตลาดและความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ การเพิ่มภาษีและการกำหนดการเล่าเรื่องช่วยให้จีนสามารถกดดันสหรัฐฯ ในจุดที่เปราะบางที่สุด ซึ่งเหมือนกับการวางหมากเพื่อตัดเส้นทางการเชื่อมต่อของคู่ต่อสู้ในหมากล้อม
อย่างไรก็ตาม ความได้เปรียบของสีจินผิงไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง จีนยังเผชิญกับความท้าทาย เช่น การพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ ความเปราะบางของหนี้ภายใน และความจำเป็นในการรักษาความเชื่อมั่นจากพันธมิตรระหว่างประเทศ หากสหรัฐฯ สามารถปรับกลยุทธ์ให้เน้นการรวมกลุ่มกับพันธมิตร (เช่น EU หรือญี่ปุ่น) หรือลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน ความได้เปรียบของจีนอาจถูกท้าทายได้
สรุป
การเดินหมากของจีนในสงครามการค้าด้านภาษีกับสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและการวางแผนที่รอบคอบ เปรียบได้กับการเล่นหมากล้อมที่เน้นการครอบครองพื้นที่และการบริหารจัดการความสูญเสียในระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว การเพิ่มภาษีอย่างเด็ดขาด การปฏิเสธการตอบโต้แบบสมมาตร การควบคุมการเล่าเรื่อง และการใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ทำให้สีจินผิงดูเหมือนได้เปรียบในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของจีนในการรักษาเสถียรภาพภายในและขยายอิทธิพลในระดับโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน
เอกสารอ้างอิง
- Eichengreen, B. (2008). Globalizing Capital: A History of the International Monetary System. Princeton University Press.
- Gilpin, R. (1987). The Political Economy of International Relations. Princeton University Press.
- Kaplan, R. D. (2019). The Return of Marco Polo’s World: War, Strategy, and American Interests in the Twenty-first Century. Random House.
- Naughton, B. (2021). The Chinese Economy: Adaptation and Growth. MIT Press.
- Nye, J. S. (2004). Soft Power: The Means to Success in World Politics. PublicAffairs.
- Schelling, T. C. (1960). The Strategy of Conflict. Harvard University Press.
- Wallerstein, I. (2004). World-Systems Analysis: An Introduction. Duke University Press.
No comments:
Post a Comment