Friday, April 11, 2025

การวิเคราะห์การเดินหมากของจีนในสงครามการค้า

การวิเคราะห์การเดินหมากของจีน ในสงครามการค้า

การวิเคราะห์การเดินหมากของจีนในสงครามการค้าด้านภาษีกับสหรัฐฯ จากมุมมองของนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์สงครามทางเศรษฐกิจ สามารถเปรียบได้กับการเล่นหมากล้อม (Go) ที่เน้นการวางหมากอย่างรอบคอบเพื่อครอบครองพื้นที่และสร้างความได้เปรียบในระยะยาว จีนภายใต้การนำของสีจินผิงแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการความขัดแย้งนี้ด้วยกลยุทธ์ที่ซับซ้อนและมองการณ์ไกล โดยผสมผสานความยืดหยุ่นทางยุทธวิธีเข้ากับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งรักษาอำนาจและอิทธิพลในระบบเศรษฐกิจโลก การวิเคราะห์ต่อไปนี้จะแยกประเด็นสำคัญเพื่อชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของจีนในมิติต่างๆ พร้อมทั้งประเมินว่าทำไมสีจินผิงอาจดูเหมือนได้เปรียบในบริบทนี้


ประเด็นการวิเคราะห์การเดินหมากของจีน

1. การเพิ่มภาษีอย่างเด็ดขาด: การส่งสัญญาณความแข็งแกร่ง

จีนตัดสินใจเพิ่มภาษีจาก 84% เป็น 125% ซึ่งมีผลทันทีตั้งแต่วันเสาร์ (ตามข้อมูลจาก DW News) การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงเป็นการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมที่จะยกระดับความขัดแย้ง ในแง่ยุทธศาสตร์สงครามทางเศรษฐกิจ การเพิ่มภาษีครั้งนี้เปรียบเสมือนการวางหมากในจุดยุทธศาสตร์บนกระดานหมากล้อม เพื่อยึดพื้นที่และบีบให้คู่ต่อสู้ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางจิตวิทยาและเศรษฐกิจ การที่จีนเลือกอัตราภาษีที่สูงและชัดเจน แสดงถึงความตั้งใจที่จะกำหนดเงื่อนไขของการเจรจาและเปลี่ยนการรับรู้ของนานาชาติเกี่ยวกับบทบาทของจีนในฐานะมหาอำนาจที่ไม่ยอมจำนน

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Thomas Schelling (1960) ใน The Strategy of Conflict ซึ่งเน้นว่าการส่งสัญญาณที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือในสถานการณ์ความขัดแย้งสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคู่ต่อสู้ได้ จีนใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการสื่อสารว่า สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นหากยังคงยกระดับความขัดแย้ง ซึ่งอาจบังคับให้สหรัฐฯ ทบทวนกลยุทธ์ของตน

2. การปฏิเสธการตอบโต้แบบค่อยเป็นค่อยไป: การเปลี่ยนกฎของเกม

จีนประกาศว่าจะไม่ตอบโต้การเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ ในอนาคตแบบ “ทีละขั้น” โดยโฆษกของจีนถึงกับเรียกกระบวนการนี้ว่า “เรื่องตลก” การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนจากยุทธวิธีตอบโต้แบบสมมาตรไปสู่การกำหนดจุดยืนที่เป็นอิสระมากขึ้น ในมุมมองของหมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการเลือกที่จะไม่ตามน้ำคู่ต่อสู้ในทุกกระดานย่อย แต่หันไปวางหมากในจุดที่สร้างความได้เปรียบในภาพรวม เช่น การรักษาเสถียรภาพภายในและการขยายอิทธิพลในภูมิภาคอื่น

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การปฏิเสธการตอบโต้แบบค่อยเป็นค่อยไปแสดงถึงความเข้าใจในทฤษฎีเกม (Game Theory) โดยเฉพาะแนวคิดของ “การเปลี่ยนกรอบ” (reframing) ซึ่งจีนพยายามกำหนดกฎใหม่ของการต่อสู้ แทนที่จะติดอยู่ในวงจรของการตอบโต้ไม่รู้จบ ซึ่งอาจทำให้ทั้งสองฝ่ายเสียหาย จีนเลือกที่จะถอนตัวจากเกมย่อยนี้เพื่อมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายระยะยาว เช่น การรักษาความเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานโลกและการสร้างพันธมิตรทางการค้าทางเลือก (Kaplan, 2019)

3. การอ้างเครดิตจากความสำเร็จ: การควบคุมการเล่าเรื่อง

จีนระบุว่าการตัดสินใจของทรัมป์ในการ “หยุดชั่วคราว” การเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ เป็นผลมาจากแรงกดดันจากจีน การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ภายในประเทศ แต่ยังเป็นการกำหนดการเล่าเรื่อง (narrative) ในระดับนานาชาติว่า จีนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ ในเกมหมากล้อม การอ้างเครดิตนี้เปรียบเสมือนการวางหมากเพื่อ “ล้อม” ความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้ โดยทำให้สหรัฐฯ ดูเหมือนเป็นฝ่ายที่ยอมถอย

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การควบคุมการเล่าเรื่องนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Joseph Nye (2004) เกี่ยวกับ soft power ซึ่งเน้นการใช้การสื่อสารและภาพลักษณ์เพื่อสร้างอิทธิพล จีนใช้โอกาสนี้เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมของตนในฐานะผู้เล่นที่สามารถกำหนดทิศทางของความขัดแย้งได้ โดยเฉพาะในสายตาของประเทศกำลังพัฒนาและพันธมิตรที่อาจลังเลระหว่างการเลือกข้างสหรัฐฯ หรือจีน

4. การใช้ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ: การรับแรงกระแทก

จีนแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการ “รับแรงกระแทก” (take it on the chin) จากผลกระทบของสงครามการค้า ด้วยบทบาทในฐานะผู้ผลิตชั้นนำของโลกและเศรษฐกิจที่มีการควบคุมโดยรัฐ จีนสามารถเปลี่ยนทิศทางการส่งออกไปยังตลาดอื่น เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือยุโรป และบริหารจัดการผลกระทบภายในผ่านนโยบายการเงินและการคลัง ในแง่หมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการเสียหมากบางตัวในพื้นที่ย่อยเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของโครงสร้างโดยรวม

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: ความยืดหยุ่นนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Barry Naughton (2021) ซึ่งชี้ว่าจีนมี “ความลึกเชิงยุทธศาสตร์” (strategic depth) จากโครงสร้างเศรษฐกิจที่หลากหลายและการควบคุมโดยรัฐ ความสามารถในการดูดซับความสูญเสียในระยะสั้นช่วยให้จีนสามารถรักษาการโจมตีในระยะยาวได้ ซึ่งต่างจากสหรัฐฯ ที่เผชิญกับแรงกดดันจากความผันผวนของตลาดและความอ่อนไหวของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

5. การกำหนดเป้าหมายระยะยาว: การครองความเป็นผู้นำในระบบโลก

การตัดสินใจของจีนในการยกระดับภาษีและปฏิเสธการตอบโต้แบบสมมาตรสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวในการรักษาความเป็นผู้นำในระบบเศรษฐกิจโลก จีนมุ่งเน้นไปที่การปกป้องห่วงโซ่อุปทาน การลงทุนในเทคโนโลยี และการสร้างเครือข่ายการค้าทางเลือก เช่น ผ่านข้อตกลง RCEP หรือ Belt and Road Initiative ในบริบทของหมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการวางหมากเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ต่างๆ บนกระดาน สร้างโครงสร้างที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นในระยะยาว

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การมุ่งเน้นระยะยาวนี้สอดคล้องกับทฤษฎีของ Robert Gilpin (1987) ใน The Political Economy of International Relations ซึ่งระบุว่ามหาอำนาจที่กำลังเติบโตจะพยายามปรับโครงสร้างระบบโลกให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน จีนใช้สงครามการค้าเป็นโอกาสในการเร่งกระบวนการนี้ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และเสริมสร้างความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ

6. การใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของสหรัฐฯ: การโจมตีจุดอ่อน

จีนตระหนักดีถึงความเปราะบางของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความอ่อนไหวของตลาดหุ้นและความกดดันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การเพิ่มภาษีของจีนส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดโลก รวมถึงการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ในบริบทหมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เปรียบเสมือนการวางหมากเพื่อตัดเส้นทางของคู่ต่อสู้ ทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาแนวรบทั้งในและนอกประเทศ

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การโจมตีจุดอ่อนนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Sun Tzu ใน The Art of War ซึ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของศัตรู จีนใช้ภาษีเป็นอาวุธเพื่อเพิ่มต้นทุนทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ เผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอย (Eichengreen, 2008)

7. การสร้างพันธมิตรทางเลือก: การขยายอิทธิพล

จีนใช้สงครามการค้าเป็นโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชีย แอฟริกา และยุโรป การเยือนของผู้นำสเปน เปโดร ซานเชซ ต่อประธานาธิบดีสีจินผิงในกรุงปักกิ่ง (ตามที่ระบุใน DW News) แสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการสร้างเครือข่ายการค้าทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ ในแง่หมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการวางหมากเพื่อสร้าง “ดวงตา” (eyes) หรือพื้นที่ปลอดภัยที่คู่ต่อสู้ไม่สามารถรุกล้ำได้

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การขยายอิทธิพลนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Dependency Theory (Wallerstein, 2004) ซึ่งจีนพยายามลดการพึ่งพาเศรษฐกิจตะวันตกโดยการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับประเทศกำลังพัฒนา การกระทำนี้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ แต่ยังเพิ่มอำนาจต่อรองของจีนในเวทีโลก


เหตุใดสีจินผิงอาจได้เปรียบ: มุมมองเปรียบเทียบในบริบทหมากล้อม

ความคิดของคุณที่ว่าสีจินผิงได้เปรียบและการเปรียบเทียบกับหมากล้อมนั้นมีความสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง หมากล้อมเป็นเกมที่เน้นการควบคุมพื้นที่มากกว่าการทำลายคู่ต่อสู้โดยตรง ซึ่งตรงกับแนวทางของจีนในสงครามการค้านี้ เหตุผลที่สีจินผิงอาจดูเหมือนได้เปรียบมีดังนี้:

  1. ความอดทนและการมองการณ์ไกล: จีนเล่นเกมระยะยาวโดยเน้นการรักษาเสถียรภาพภายในและการขยายอิทธิพลในระดับโลก ขณะที่สหรัฐฯ เผชิญกับแรงกดดันระยะสั้นจากความผันผวนของตลาดและการเมืองภายใน ความอดทนนี้เปรียบเสมือนการวางหมากอย่างใจเย็นเพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมในหมากล้อม
  2. โครงสร้างการตัดสินใจที่รวมศูนย์: ระบบการปกครองของจีนช่วยให้สีจินผิงสามารถกำหนดนโยบายได้อย่างรวดเร็วและสอดประสานกัน ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและสภาคองเกรส รวมถึงความกดดันจากสาธารณะ ในหมากล้อม การมี “ผู้เล่น” ที่ตัดสินใจได้อย่างเป็นเอกภาพช่วยให้สามารถควบคุมทิศทางของเกมได้ดีกว่า
  3. ความหลากหลายของแนวรบ: จีนไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่การค้าทวิภาคีกับสหรัฐฯ แต่ขยายแนวรบไปยังการลงทุนในเทคโนโลยี (เช่น 5G และ AI) และการสร้างพันธมิตรผ่านข้อตกลงระหว่างประเทศ ในหมากล้อม การกระจายหมากไปในหลายพื้นที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีในจุดเดียว
  4. การใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของคู่ต่อสู้: จีนตระหนักดีว่าสหรัฐฯ มีจุดอ่อนในด้านความไวต่อความผันผวนของตลาดและความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ การเพิ่มภาษีและการกำหนดการเล่าเรื่องช่วยให้จีนสามารถกดดันสหรัฐฯ ในจุดที่เปราะบางที่สุด ซึ่งเหมือนกับการวางหมากเพื่อตัดเส้นทางการเชื่อมต่อของคู่ต่อสู้ในหมากล้อม

อย่างไรก็ตาม ความได้เปรียบของสีจินผิงไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง จีนยังเผชิญกับความท้าทาย เช่น การพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ ความเปราะบางของหนี้ภายใน และความจำเป็นในการรักษาความเชื่อมั่นจากพันธมิตรระหว่างประเทศ หากสหรัฐฯ สามารถปรับกลยุทธ์ให้เน้นการรวมกลุ่มกับพันธมิตร (เช่น EU หรือญี่ปุ่น) หรือลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน ความได้เปรียบของจีนอาจถูกท้าทายได้


สรุป

การเดินหมากของจีนในสงครามการค้าด้านภาษีกับสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและการวางแผนที่รอบคอบ เปรียบได้กับการเล่นหมากล้อมที่เน้นการครอบครองพื้นที่และการบริหารจัดการความสูญเสียในระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว การเพิ่มภาษีอย่างเด็ดขาด การปฏิเสธการตอบโต้แบบสมมาตร การควบคุมการเล่าเรื่อง และการใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ทำให้สีจินผิงดูเหมือนได้เปรียบในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของจีนในการรักษาเสถียรภาพภายในและขยายอิทธิพลในระดับโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน

เอกสารอ้างอิง

  • Eichengreen, B. (2008). Globalizing Capital: A History of the International Monetary System. Princeton University Press.
  • Gilpin, R. (1987). The Political Economy of International Relations. Princeton University Press.
  • Kaplan, R. D. (2019). The Return of Marco Polo’s World: War, Strategy, and American Interests in the Twenty-first Century. Random House.
  • Naughton, B. (2021). The Chinese Economy: Adaptation and Growth. MIT Press.
  • Nye, J. S. (2004). Soft Power: The Means to Success in World Politics. PublicAffairs.
  • Schelling, T. C. (1960). The Strategy of Conflict. Harvard University Press.
  • Wallerstein, I. (2004). World-Systems Analysis: An Introduction. Duke University Press.

Thursday, April 10, 2025

ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย

 

  1. พลวัตของสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน
  2. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  3. การพุ่งสูงขึ้นของการส่งออกของจีนและการเปลี่ยนทิศทางของตลาด
  4. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมจีน
  5. วิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งทอในอินโดนีเซีย
  6. การลดลงของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซีย
  7. ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย
  8. การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนิกเกิลในอินโดนีเซีย
  9. ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์ของอาเซียน
  10. ผลกระทบและการตอบสนองต่อการค้าโลก

7) ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย

ภาคยานยนต์ของประเทศไทย ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" เผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2024 อันเป็นผลจากสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน เช่น BYD อุตสาหกรรมนี้ ซึ่งเคยเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ หดตัวลงเกือบ 30% จากกำลังการผลิตสูงสุดที่ 2.4 ล้านคันในปี 2012 เหลือเพียง 1.4 ล้านคันในปี 2024 (Kriangkrai, 2025) การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังเผยให้เห็นความเปราะบางของโครงสร้างอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการลงทุนจากญี่ปุ่นและการส่งออกไปยังตลาดโลก การวิเคราะห์นี้จะแบ่งเป็นหัวข้อย่อยเพื่อสำรวจมิติต่างๆ ของความท้าทายนี้อย่างเป็นระบบ

7.1) การหดตัวของกำลังการผลิตและการปิดโรงงาน

การลดลงของการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจาก 2.4 ล้านคันในปี 2012 สู่ 1.4 ล้านคันในปี 2024 เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนถึงวิกฤตในภาคยานยนต์ การหดตัวนี้สัมพันธ์กับการถอนตัวของผู้ผลิตรายใหญ่จากญี่ปุ่น เช่น Subaru และ Suzuki ในปี 2023 และการปิดโรงงานหนึ่งแห่งของ Nissan ในปี 2024 (CNA Insider, 2025) สาเหตุหลักมาจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น ซึ่งครองตลาดไทยมานานกว่า 40 ปี ผ่านการลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในจังหวัดระยอง ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับความต้องการที่เปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ไทยสูญเสียตำแหน่งผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

7.2) การแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าของจีน

การเข้ามาของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน โดยเฉพาะ BYD ซึ่งเปิดโรงงานมูลค่า 490 ล้านดอลลาร์สหรัฐในระยองเมื่อปี 2024 ได้เปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โรงงานนี้มีกำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี และเน้นการประกอบชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ในท้องถิ่น (CNA Insider, 2025) รถยนต์ไฟฟ้าจีนที่มีราคาถูกและเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติและส่วนประกอบที่น้อยลง ได้ลดความต้องการรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งเป็นจุดแข็งของผู้ผลิตญี่ปุ่นในไทย ตัวอย่างเช่น ตลาดส่งออกสำคัญของไทย เช่น ออสเตรเลีย ซึ่งเคยพึ่งพารถกระบะจากไทย หันไปใช้ EV จากจีนแทน ส่งผลให้การส่งออกของไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

7.3) ผลกระทบต่อการจ้างงานและห่วงโซ่อุปทาน

ภาคยานยนต์ไทยจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณ 1 ล้านคน (Kriangkrai, 2025) การเปลี่ยนผ่านสู่ EV ซึ่งใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้นและต้องการชิ้นส่วนน้อยลง ทำให้การจ้างงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด โรงงานของ BYD ถึงแม้จะสร้างงาน 10,000 ตำแหน่ง แต่ไม่สามารถทดแทนการสูญเสียงานจากโรงงานญี่ปุ่นที่ปิดตัวได้ ตามที่ศาสตราจารย์เกรียงไกร (2025) ระบุว่า การผลิต EV ใช้ "หุ่นยนต์มากขึ้น คนน้อยลง" ซึ่งขัดแย้งกับโครงสร้างการจ้างงานแบบดั้งเดิมของไทย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) กว่า 1,700 รายที่เป็นซัพพลายเออร์ให้ญี่ปุ่นเผชิญความเสี่ยงจากการที่ห่วงโซ่อุปทานของ ICE ค่อยๆ ล้าสมัย การเปลี่ยนไปสู่ EV ต้องใช้เวลาและการลงทุนมหาศาล ซึ่ง SMEs เหล่านี้มักขาดแคลนทรัพยากรในการปรับตัว

7.4) การเปลี่ยนผ่านสู่ศูนย์กลางการผลิต EV

ประเทศไทยพยายามปรับตัวโดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาค การลงทุนของ BYD และนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียวสะท้อนถึงความพยายามนี้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้เผชิญอุปสรรคทั้งด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน การผลิต EV ต้องการความรู้เฉพาะทางและระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่แตกต่างจาก ICE เช่น การพัฒนาโรงงานแบตเตอรี่และสถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น (CNA Insider, 2025) การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องเผชิญกับ "ความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนผ่าน" ตามที่ระบุในสารคดีว่า "ไม่มีเจ็บปวด ไม่มีผลได้" (CNA Insider, 2025) ซึ่งหมายถึงการสูญเสียในระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว

7.5) ผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และจีน

สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีนมีส่วนซ้ำเติมความท้าทายของภาคยานยนต์ไทย ภาษีสหรัฐฯ ที่สูงถึง 54% ต่อสินค้าจีนกระตุ้นให้จีนผลักดัน EV สู่ตลาดอื่น รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อผู้ผลิตไทย ในขณะเดียวกัน การที่สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญของอาเซียนในปี 2024 (CNA Insider, 2025) แต่มีนโยบายปกป้องมากขึ้น ทำให้โอกาสในการส่งออกยานยนต์จากไทยไปสหรัฐฯ ลดลง การพึ่งพาตลาดส่งออก เช่น ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ และแอฟริกา ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของไทย กลายเป็นจุดอ่อนเมื่อเผชิญการแข่งขันจากจีนและข้อจำกัดทางการค้า

7.6) ความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการ

ผู้ประกอบการในไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการลงทุน รถยนต์สมัยใหม่ โดยเฉพาะ EV ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะ แต่เป็น "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และความบันเทิง" (CNA Insider, 2025) การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการนวัตกรรม เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบเชื่อมต่อ ซึ่งญี่ปุ่นและไทยตามหลังจีนอย่างมาก ผู้ประกอบการ SMEs ต้อง "คิดค้นตัวเองใหม่" เพื่อคงความเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน EV แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ใช้เวลานานและมีต้นทุนสูง ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในระยะสั้นต่อทั้งผู้ผลิตและแรงงาน

7.7) อนาคตของภาคยานยนต์ไทย: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

ถึงแม้จะเผชิญความท้าทาย ประเทศไทยมีศักยภาพในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ความรู้และประสบการณ์จากการเป็นศูนย์กลางยานยนต์กว่า 40 ปี รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานในระยอง สามารถใช้เป็นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรม EV การลงทุนจากจีน เช่น BYD และการสนับสนุนจากรัฐบาลในการสร้างระบบนิเวศ EV อาจช่วยให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์สีเขียวในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถในการลดการพึ่งพาญี่ปุ่น และการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่


สรุป

ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทยสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ลึกซึ้ง อันเป็นผลจากสงครามภาษีโลก การแข่งขันจากจีน และการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยี EV การหดตัวของการผลิตและการสูญเสียงานเผยให้เห็นความเปราะบางของโมเดลอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ขณะที่การลงทุนจากจีนและนโยบายของรัฐบาลเปิดโอกาสใหม่ การปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นบททดสอบความยืดหยุ่นของประเทศไทยในยุคที่ "ว่ายทวนน้ำ" กลายเป็นเงื่อนไขแห่งการอยู่รอด (CNA Insider, 2025)

US-China Tariff War

 

  • พลวัตของสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน
  • ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • การพุ่งสูงขึ้นของการส่งออกของจีนและการเปลี่ยนทิศทางของตลาด
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมจีน
  • วิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งทอในอินโดนีเซีย
  • การลดลงของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซีย
  • ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย
  • การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนิกเกิลในอินโดนีเซีย
  • ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์ของอาเซียน
  • ผลกระทบและการตอบสนองต่อการค้าโลก
  • 1) พลวัตของสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    สงครามภาษีที่ทวีความรุนแรงระหว่างสหรัฐฯ และจีนภายใต้การบริหารของทรัมป์สะท้อนถึงการต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อครองความเป็นใหญ่ทางเศรษฐกิจ ภาษีที่สูงถึง 54% บังคับให้สินค้าจีนที่มุ่งสู่สหรัฐฯ หาตลาดใหม่ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การปกป้องแบบนี้เผยให้เห็นความตึงเครียดที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

    2) ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    ผู้ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญกับแรงกดดันสองด้านจากสินค้าจีนราคาถูกและภาษีสหรัฐฯ อุตสาหกรรมสิ่งทอ แผงโซลาร์ และยานยนต์ประสบปัญหาโรงงานปิดและการสูญเสียงาน สถานการณ์นี้ท้าทายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของอาเซียน

    3) การพุ่งสูงขึ้นของการส่งออกของจีนและการเปลี่ยนทิศทางของตลาด
    การส่งออกของจีนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 จำนวน 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้สินค้าถูกระบายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระตุ้นให้เกิดมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดในภูมิภาคและที่อื่นๆ

    4) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมจีน
    นวัตกรรม เช่น โรงงานที่ใช้ AI และเครื่องทอผ้าอัตโนมัติ ช่วยให้จีนผลิตได้ตลอด 24 ชั่วโมง สนับสนุนโดยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและแรงงานที่มีวินัย ทำให้จีนครองตลาดสิ่งทอ แผงโซลาร์ และยานยนต์ไฟฟ้า

    5) วิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งทอในอินโดนีเซีย
    อุตสาหกรรมสิ่งทอของอินโดนีเซียพังทลายจากสินค้าจีนราคาถูก โดยมี 60 บริษัทปิดตัวและคนงาน 250,000 คนถูกเลิกจ้าง ผลกระทบนี้ขยายไปสู่ภาคโลจิสติกส์และที่อยู่อาศัย

    6) การลดลงของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซีย
    อุตสาหกรรมโซลาร์ของมาเลเซียเผชิญวิกฤตจากภาษีสหรัฐฯ สูงถึง 271% ทำให้โรงงานของ Jinko และ Longi ปิดตัว คุกคามอุตสาหกรรมที่เคยมุ่งสู่ตลาดสหรัฐฯ

    7) ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย
    ภาคยานยนต์ไทยหดตัวเกือบ 30% ในปี 2024 จากการแข่งขันของยานยนต์ไฟฟ้าจีน เช่น BYD ทำให้โรงงานญี่ปุ่นปิดตัวและการจ้างงานลดลง

    8) การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนิกเกิลในอินโดนีเซีย
    การลงทุนจากจีนเปลี่ยนซูลาเวซีเป็นศูนย์ผลิตนิกเกิลสำหรับแบตเตอรี่ EV สร้างงาน 200,000 ตำแหน่ง แต่เผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการตัดไม้ทำลายป่า

    9) ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์ของอาเซียน
    อาเซียนแสดงความยืดหยุ่นผ่านการกระจายการค้าและบูรณาการระดับภูมิภาค เช่น การเจรจากับ EU และการใช้ทรัพยากรแร่ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และจีน

    10) ผลกระทบและการตอบสนองต่อการค้าโลก
    สงครามภาษีส่งผลกระทบทั่วโลก โดยประเทศต่างๆ ใช้มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด การเปลี่ยนแปลงตลาดส่งออกของอาเซียนสู่สหรัฐฯ ในปี 2024 ต้องเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายปกป้อง

    สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีน: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่อภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีน:
    การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่อภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้



    สงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพลวัตการค้าโลก โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นทั้งสนามรบและแหล่งทดสอบการปรับตัวทางเศรษฐกิจ บทความนี้วิเคราะห์มิติสิบประการที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่โครงสร้างของสงครามภาษีไปจนถึงผลกระทบระดับโลก โดยอ้างอิงจากสารคดี CNA Insider "สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีน: ผู้ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสูญเสียอะไรบ้าง?" เพื่อชี้ให้เห็นความท้าทายและโอกาสที่สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เผชิญอยู่ ผ่านมุมมองระดับบัณฑิตศึกษา การวิเคราะห์นี้ผสมผสานมุมมองวิชาการ ข้อมูลเชิงประจักษ์ และกรอบทฤษฎีเพื่อตรวจสอบการปะทะกันของภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ

    สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีน ซึ่งรุนแรงขึ้นภายใต้ทรัมป์ แสดงถึงกลยุทธ์ปกป้องที่มุ่งลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ด้วยภาษีสูงถึง 54% (CNA Insider, 2025) นโยบายนี้เปลี่ยนทิศทางการส่งออก 3 ล้านล้านดอลลาร์ของจีน ซึ่งมีส่วนเกินการค้าเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 (New York Times, 2025) สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังที่ Hufbauer และ Lu (2018) โต้แย้ง การเปลี่ยนทิศทางการค้านี้บิดเบือนตลาดภูมิภาค บังคับให้อาเซียนรับสินค้าส่วนเกินที่เดิมมุ่งสู่ผู้บริโภคตะวันตก พลวัตนี้เผยให้เห็นการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ภาษีกลายเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ ซึ่งถูกวิจารณ์จากมาเลเซียว่า "ไม่ถูกต้อง" (CNA Insider, 2025)

    การผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นรากฐานของความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค เผชิญภัยคุกคามจากสองด้านนี้ ในอินโดนีเซีย อุตสาหกรรมสิ่งทอที่เคยรุ่งเรืองด้วยยอดขาย 1.3 พันล้านดอลลาร์ของ Streetex ในปี 2020 ล่มสลาย โดยมี 60 บริษัทปิดตัวและคนงาน 250,000 คนถูกเลิกจ้างภายในปี 2024 (สมาคมผู้ผลิตเส้นใยอินโดนีเซีย, 2023-2024) ภาคโซลาร์ของมาเลเซีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Jinko Solar มูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ พังทลายจากภาษีสหรัฐฯ สูงถึง 271% (CNA Insider, 2025) ศูนย์ยานยนต์ของไทย ซึ่งผลิต 2.4 ล้านคันในปี 2012 หดตัวเหลือ 1.4 ล้านคันในปี 2024 จากการแข่งขันของ BYD (Kriangkrai, 2025) กรณีเหล่านี้แสดงถึงภูมิภาคที่ "ว่ายทวนน้ำ" ขณะเผชิญการปิดโรงงานและผลกระทบทางสังคม (CNA Insider, 2025)

    การพุ่งสูงขึ้นของการส่งออกจีน ซึ่งขับเคลื่อนโดยเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวและภาษีสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นนี้ ด้วยการส่งออกที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นเป้าหมายของ "สึนามิสินค้าจีน" ตั้งแต่สิ่งทอไปจนถึง EV (CNA Insider, 2025) สอดคล้องกับทฤษฎีของ Krugman (1991) เรื่องความไม่สมดุลทางการค้า ซึ่งระบุว่าประเทศที่เน้นการส่งออกครอบงำตลาดใกล้เคียง แต่ประสิทธิภาพของจีน ซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าเป็น "กำลังการผลิตเกิน" มาจากโครงสร้างพื้นฐานที่เหนือชั้นและแรงงานที่มีวินัย (CNA Insider, 2025) ประสิทธิภาพนี้ขับเคลื่อนการส่งออกสิ่งทอมูลค่า 293.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 (ข้อมูลรัฐบาลจีน, 2023)

    ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีตอกย้ำความเหนือกว่าของจีน โรงงานที่ใช้ AI และเครื่องทออัตโนมัติทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบที่ใช้แรงงานเข้มข้นของอาเซียน (CNA Insider, 2025) ดังที่ Acemoglu และ Restrepo (2019) ระบุ ระบบอัตโนมัติขยายช่องว่างผลผลิต ในอินโดนีเซีย ผู้ผลิตสิ่งทอบ่นว่า "แข่งขันไม่ได้" กับโรงงาน "มืด" ของจีน ขณะที่มาเลเซียล้มเหลวในการตามทันความก้าวหน้าของจีน (CNA Insider, 2025)

    วิกฤตสิ่งทอในอินโดนีเซียแสดงถึงความเสียหายในท้องถิ่น สินค้าจีนราคาถูกทำลายตลาดในประเทศและการส่งออก โดยแบรนด์อย่าง Zara และ Nike ลดการผลิตในอินโดนีเซีย (CNA Insider, 2025) ผลกระทบต่อคนงาน 800,000 คนกลายเป็นประเด็นการเมือง (สื่ออินโดนีเซีย, 2024) เช่นเดียวกัน การล่มสลายของโซลาร์ในมาเลเซียสะท้อนถึงการปะทะกันของนโยบายมหาอำนาจ ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ภาษีตัดขาดอุตสาหกรรมของมาเลเซีย (CNA Insider, 2025)

    ภาคยานยนต์ไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลง โดย EV ของ BYD ขัดขวางอุตสาหกรรมที่พึ่งพาเครื่องยนต์สันดาป การปิดโรงงานของ Subaru และ Nissan สะท้อนถึงการเปลี่ยนสู่การผลิตที่ใช้ระบบอัตโนมัติ ซึ่งสร้างงานน้อยลง (Kriangkrai, 2025) ในทางกลับกัน การเติบโตของนิกเกิลในอินโดนีเซียจากทุนจีนสร้างงาน 200,000 ตำแหน่ง แม้เผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อม (Carnegie Endowment, 2025)

    ความยืดหยุ่นของอาเซียนปรากฏผ่านการปรับตัว อินโดนีเซียเจรจากับ EU มาเลเซียใช้แร่ธาตุสำคัญ และไทยมุ่งสู่อุตสาหกรรม EV (CNA Insider, 2025) กลยุทธ์เหล่านี้สอดคล้องกับกรอบของ Porter (1990) เรื่องความได้เปรียบทางการแข่งขัน อาเซียนคาดการณ์การเติบโต 5% แม้มีอุปสรรค (World Bank, 2025)

    ระดับโลก ผลกระทบจากสงครามภาษีขยายวงกว้าง โดยมีมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดในชิลี เม็กซิโก และอินเดีย สหรัฐฯ แซงหน้าจีนเป็นตลาดส่งออกหลักของอาเซียนในปี 2024 แต่เผชิญความเสี่ยงจากนโยบายปกป้อง (CNA Insider, 2025) ดังที่ Rodrik (2018) แนะนำ ต้องมีนโยบายที่ชาญฉลาด

    โดยสรุป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญทั้งความเปราะบางและโอกาสจากสงครามภาษี อาเซียนต้องใช้เทคโนโลยีและกลยุทธ์เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ในยามที่ยักษ์ใหญ่ปะทะกัน

    เอกสารอ้างอิง

    • Acemoglu, D., & Restrepo, P. (2019). Automation and New Tasks. Journal of Economic Perspectives.
    • Hufbauer, G. C., & Lu, Z. (2018). The Costs of Trump’s Trade War. Peterson Institute for International Economics.
    • Krugman, P. (1991). Geography and Trade. MIT Press.
    • Porter, M. E. (1990). The Competitive Advantage of Nations. Free Press.
    • Rodrik, D. (2018). Straight Talk on Trade. Princeton University Press.

    Wednesday, April 9, 2025

    การวิเคราะห์ท่าทีของทรัมป์ผ่านมุมมอง "ซุนวู" (ซุนจื่อ) จาก "ศิลปะแห่งสงคราม"

    การวิเคราะห์ท่าทีของทรัมป์ผ่านมุมมอง "ซุนวู" (ซุนจื่อ) จาก "ศิลปะแห่งสงคราม"


    การที่ทรัมป์ประกาศเลื่อนมาตรการภาษี 90 วันสำหรับประเทศที่ไม่ตอบโต้สหรัฐฯ แต่ขึ้นภาษีจีนเป็น 125% สามารถตีความได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนทั้งความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจในประเทศและการพยายามรักษาหน้าตาทางการเมือง โดยมุ่งเป้าไปที่จีนเป็นหลัก เราจะใช้หลักคิดของซุนวู (Sun Tzu) จาก "ศิลปะแห่งสงคราม" (The Art of War) เพื่ออ่านเกมการต่อสู้ทางการค้านี้ โดยพิจารณาผ่านแนวคิดหลัก ๆ ดังนี้:

    1. "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" (知彼知己,百戰不殆)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูเน้นว่าการรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของทั้งตนเองและศัตรูเป็นกุญแจสู่ชัยชนะ การตัดสินใจของทรัมป์แสดงให้เห็นว่าเขาตระหนักถึง "จุดอ่อน" ของสหรัฐฯ เอง เช่น การที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (เช่น S&P 500, Dow Jones) ร่วงหนักหลังประกาศภาษีก่อนหน้านี้ และคำเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์ถึงโอกาสเกิดภาวะถดถอย (recession) หากเดินหน้าสงครามการค้าเต็มรูปแบบ การเลื่อนภาษี 90 วันสำหรับประเทศอื่นนอกจากจีนจึงเป็นการ "ถอยเพื่อรักษากำลัง" (退而保己) เพื่อลดแรงกดดันในประเทศ โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจและนักลงทุนที่กังวลเรื่องต้นทุนสินค้าและความผันผวนของตลาด
    • มุมมองต่อจีน: ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ "รู้เขา" ว่าจีนเป็นคู่แข่งหลักที่มีศักยภาพสูงและตอบโต้อย่างแข็งกร้าว (เช่น ภาษี 84%) การขึ้นภาษีจีนถึง 125% จึงเป็นการโจมตีเป้าหมายหลักเพื่อกดดันให้จีนยอมเจรจา หรือหวังให้จีนเสียหายมากกว่าสหรัฐฯ ในระยะยาว

    2. "ชัยชนะสูงสุดคือชนะโดยไม่ต้องรบ" (不戰而屈人之兵)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูกล่าวว่าการชนะโดยไม่ต้องลงสนามรบจริงคือยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุด การที่ทรัมป์เลือก "หยุดชั่วคราว" กับประเทศที่ไม่ตอบโต้ (กว่า 75 ประเทศที่ติดต่อขอเจรจา) แสดงถึงการใช้ "การข่มขู่" (威懾) เพื่อบีบให้ประเทศเหล่านี้ยอมเจรจาโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากันเต็มที่ การลดภาษีเหลือ 10% ชั่วคราวและให้เวลา 90 วันเป็นเหมือน "แครอท" (carrot) ที่จูงใจให้ประเทศอื่น ๆ เข้าสู่โต๊ะเจรจา แทนการใช้ "ไม้ตี" (stick) อย่างเต็มรูปแบบ
    • มุมมองต่อจีน: แต่กับจีนที่เลือกตอบโต้ ทรัมป์กลับใช้ "ไม้แข็ง" (硬仗) โดยขึ้นภาษีถึง 125% ซึ่งขัดกับหลักซุนวูในแง่ที่ว่า การรบโดยตรงกับศัตรูที่พร้อมสู้ถึงที่สุด (จีนระบุชัดว่า "จะสู้ถึงที่สุด") อาจนำไปสู่การสูญเสียทั้งสองฝ่าย (兩敗俱傷) แทนการชนะแบบไม่ต้องรบ

    3. "ใช้ความโกลาหลเป็นโอกาส" (亂中取勝)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูแนะให้ฉวยโอกาสจากความวุ่นวาย ทรัมป์อาจมองว่าความผันผวนของตลาดโลกและการตอบโต้ของจีนเป็น "โอกาส" ที่จะแยกจีนออกจากพันธมิตรอื่น ๆ การให้เวลาประเทศอื่น 90 วันเพื่อเจรจา พร้อมกับลงโทษจีนหนัก ๆ เป็นการสร้างภาพว่าสหรัฐฯ ยังเป็นผู้นำที่ "ควบคุมเกมได้" และพยายามดึงประเทศอื่นมาเป็นพันธมิตร (เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เวียดนาม) เพื่อต่อต้านจีน ซึ่งสอดคล้องกับที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ (Scott Bessent) ระบุว่า "นี่คือกลยุทธ์ตั้งแต่ต้น" เพื่อแยกจีนออกจากระบบการค้าโลก
    • มุมมองต่อจีน: อย่างไรก็ตาม จีนเองก็อาจใช้หลักนี้เช่นกัน โดยฉวยโอกาสจากความโกลาหลนี้เพื่อกระชับสัมพันธ์กับประเทศอื่น (เช่น การลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และหันไปค้าขายกับเอเชียหรือยุโรป) ซึ่งอาจทำให้กลยุทธ์ของทรัมป์ไม่สำเร็จเต็มที่

    4. "โจมตีจุดอ่อน หลีกเลี่ยงจุดแข็ง" (攻其無備,出其不意)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูแนะให้โจมตีจุดที่ศัตรูไม่พร้อมและคาดไม่ถึง การเลื่อนภาษี 90 วันสำหรับประเทศอื่นอาจเป็นการ "หลีกเลี่ยงจุดแข็ง" ของกลุ่มประเทศที่พร้อมตอบโต้ (เช่น EU ที่เตรียมภาษี 25% มูลค่า 21 พันล้านยูโร) เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดจากการถูกรุมตอบโต้จากหลายฝ่ายพร้อมกัน ส่วนการขึ้นภาษีจีนถึง 125% เป็นการ "โจมตีจุดอ่อน" ที่ทรัมป์มองว่าจีนพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มาก และหวังว่าภาษีสูงจะบีบให้จีนยอมถอย
    • มุมมองต่อจีน: แต่จีนได้พิสูจน์แล้วว่ามีความยืดหยุ่นสูง (resilience) จากสงครามการค้ารอบก่อน (2018-2019) โดยลดการพึ่งพาสหรัฐฯ (เช่น ถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ลดลง) และหันไปพึ่งตลาดในประเทศและพันธมิตรอื่น การโจมตีจุดนี้ของทรัมป์อาจไม่รุนแรงเท่าที่คาด

    5. "รักษาหน้าและกำลังใจของกองทัพ" (士氣不可挫)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูให้ความสำคัญกับขวัญกำลังใจของกองทัพ (ในที่นี้คือประชาชนและภาคธุรกิจสหรัฐฯ) การถอยจากนโยบายภาษีเต็มรูปแบบหลังตลาดร่วงและมีเสียงคัดค้านจากทั้งในและนอกประเทศ แสดงว่าทรัมป์กังวลเรื่อง "การเสียหน้า" และ "ขวัญกำลังใจ" ในสหรัฐฯ การเลื่อน 90 วันและลดภาษีเหลือ 10% เป็นการ "ซื้อเวลา" เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในตลาด (เห็นได้จาก S&P 500 พุ่ง 9.5% หลังประกาศ) พร้อมกับโยนความผิดไปที่จีนว่า "ไม่เคารพตลาดโลก" เพื่อรักษาภาพลักษณ์ผู้นำที่เข้มแข็ง
    • มุมมองต่อจีน: การที่ทรัมป์มุ่งโจมตีจีนอาจเป็นการ "เสียหน้า" น้อยกว่าในสายตาผู้สนับสนุน เพราะจีนถูกมองเป็น "ศัตรูหลัก" ในนโยบาย America First แต่หากจีนทนได้นานกว่าที่คาด ภาพลักษณ์ของทรัมป์อาจเสียหายแทน

    การอ่านเกมโดยรวม

    จากมุมมองของซุนวู ท่าทีของทรัมป์เป็นการผสมผสานระหว่าง "การถอยเพื่อตั้งหลัก" และ "การโจมตีเพื่อกดดัน" ซึ่งมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน:

    • จุดแข็ง: การเลื่อน 90 วันช่วยลดแรงกดดันในสหรัฐฯ และดึงพันธมิตรมาเจรจาได้สำเร็จ (กว่า 75 ประเทศ) ขณะที่การขึ้นภาษีจีนอาจสร้างความเสียหายให้จีนในระยะสั้น โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
    • จุดอ่อน: การเผชิญหน้ากับจีนโดยตรงอาจไม่สอดคล้องกับหลัก "ชนะโดยไม่รบ" เพราะจีนมีทรัพยากรและความพร้อมที่จะสู้ยืดเยื้อ สหรัฐฯ เองก็เสี่ยงต่อภาวะถดถอยหากสงครามการค้ายืดเยื้อเกิน 90 วัน

    มุมมองของจีนตามซุนวู

    จีนน่าจะใช้กลยุทธ์ "ยืดเยื้อเพื่อให้ศัตรูอ่อนล้า" (以逸待勞) โดยรอให้สหรัฐฯ เผชิญผลกระทบจากนโยบายของตัวเอง (เช่น ราคาสินค้าแพงขึ้นในสหรัฐฯ) และใช้เวลา 90 วันนี้กระชับสัมพันธ์กับประเทศอื่นเพื่อลดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ

    สรุป

    ทรัมป์กำลังเล่นเกม "ข่มขู่และซื้อเวลา" เพื่อรักษาหน้าและลดความเสียหายในประเทศ แต่การมุ่งโจมตีจีนอย่างหนักอาจเป็นดาบสองคม เพราะจีนมีศักยภาพที่จะต้านทานและตอบโต้ในระยะยาว ตามหลักซุนวู สหรัฐฯ อาจได้เปรียบในระยะสั้น แต่หากไม่สามารถบีบจีนให้ยอมได้ใน 90 วัน ชัยชนะที่แท้จริงอาจตกเป็นของจีนที่ "รอให้ศัตรูพ่ายแพ้ด้วยตัวเอง"

    การวิเคราะห์ระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงในปี 2025

    การวิเคราะห์ระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงในปี 2025

    สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน (ภาษี 104% ของสหรัฐฯ และการตอบโต้ด้วยภาษี 84% ของจีน) สามารถวิเคราะห์ได้ว่าระเบียบการค้าโลกในปัจจุบัน (วันที่ 9 เมษายน 2025) มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน โดยอิงจากพัฒนาการของระบบการค้าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนี้:


    1. บริบทดั้งเดิมของระเบียบการค้าโลก

    • GATT (1947) และ WTO (1995): หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกมุ่งสู่การค้าเสรีผ่านการลงนามในข้อตกลง GATT และต่อมาพัฒนาเป็น WTO เป้าหมายหลักคือการลดภาษีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้า เพื่อส่งเสริมการค้าเสรี (free trade) และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก การเจรจารอบอุรุกวัย (1986-1994) เป็นจุดสูงสุดที่ทำให้อัตราภาษีทั่วโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
    • หลักการพื้นฐาน: ระบบนี้เน้นความร่วมมือระหว่างประเทศ ความเท่าเทียมในการค้า และการหลีกเลี่ยงการกีดกันทางการค้า (trade barriers) โดยมีกฎกติกาที่ชัดเจนภายใต้กรอบ WTO

    2. การเปลี่ยนแปลงในระเบียบการค้าโลก

    จากข้อมูลและเหตุการณ์ล่าสุด สามารถระบุการเปลี่ยนแปลงได้ดังนี้:

    ก. การกลับมาของนโยบายปกป้องผลประโยชน์ (Protectionism)
    • บริบทเดิม: GATT และ WTO ส่งเสริมการค้าเสรี แต่ข้อมูลระบุว่าแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็ยังพยายามปกป้องผู้ผลิตและตลาดในประเทศด้วย "มาตรการที่ซับซ้อนและคลุมเครือ" ซึ่งยากต่อการตัดสินว่าเป็นการกีดกันทางการค้า
    • สถานการณ์ปัจจุบัน: การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี 104% ต่อสินค้าจีน และจีนตอบโต้ด้วยภาษี 84% เป็นตัวอย่างชัดเจนของนโยบายปกป้องผลประโยชน์ (protectionism) ที่ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของการค้าเสรี การกระทำนี้ไม่ใช่แค่การปกป้องผู้ผลิตในประเทศ แต่ยังเป็นการใช้ภาษีเป็น "อาวุธ" ในการต่อสู้ทางเศรษฐกิจและการเมือง
    • การเปลี่ยนแปลง: แทนที่จะเจรจาภายใต้กรอบ WTO หรือลดภาษีตามหลักการค้าเสรี ประเทศมหาอำนาจกลับเลือกใช้มาตรการฝ่ายเดียว (unilateral measures) ซึ่งบ่งบอกว่าระเบียบการค้าโลกกำลังถอยห่างจากความร่วมมือไปสู่การเผชิญหน้า
    ข. การท้าทายจากประเทศเกิดใหม่ (Emerging Economies)
    • บริบทเดิม: ข้อมูลระบุว่า การเติบโตของจีนและอินเดียเป็น "แรงกดดัน" ต่อประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้มหาอำนาจดั้งเดิม เช่น สหรัฐฯ ต้องปรับตัวหรือตอบโต้เพื่อรักษาดุลอำนาจ
    • สถานการณ์ปัจจุบัน: จีนกลายเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจหลักของสหรัฐฯ และการตอบโต้ด้วยภาษีของทั้งสองฝ่ายสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่าง "มหาอำนาจเดิม" (สหรัฐฯ) และ "มหาอำนาจใหม่" (จีน) การที่จีนไม่ยอมรับ "พฤติกรรมรังแก" และพร้อมสู้ถึงที่สุดแสดงให้เห็นว่า ประเทศเกิดใหม่ไม่ได้เป็นเพียงผู้ตามในระบบการค้าโลกอีกต่อไป แต่มีอำนาจต่อรองสูงขึ้น
    • การเปลี่ยนแปลง: ระเบียบการค้าโลกที่เคยถูกครอบงำโดยประเทศพัฒนาแล้วกำลังถูกท้าทายโดยประเทศเกิดใหม่ ส่งผลให้เกิดการแบ่งขั้วอำนาจ (polarization) และลดบทบาทของ WTO ในการเป็นตัวกลางแก้ไขข้อพิพาท
    ค. การลดทอนบทบาทของ WTO
    • บริบทเดิม: WTO เป็นกลไกหลักในการกำกับการค้าโลกและแก้ไขข้อพิพาท แต่ข้อมูลระบุว่ามาตรการของประเทศพัฒนาแล้วมัก "คลุมเครือ" และตัดสินยากว่าเป็นการกีดกันทางการค้า
    • สถานการณ์ปัจจุบัน: การที่สหรัฐฯ และจีนเลือกใช้ภาษีสูงลิ่วโดยไม่ผ่านการเจรจาหรือกลไกของ WTO แสดงถึงการเพิกเฉยต่อระเบียบการค้าที่มีกฎกติกา การที่จีนเรียกร้อง "ความเท่าเทียมและการเคารพ" แต่สหรัฐฯ เดินหน้านโยบายฝ่ายเดียว บ่งบอกว่า WTO อาจไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์นี้
    • การเปลี่ยนแปลง: ระเบียบการค้าโลกที่เคยยึดโยงกับกรอบพหุภาคี (multilateral framework) ของ WTO กำลังถูกแทนที่ด้วยนโยบายทวิภาคี (bilateral) หรือฝ่ายเดียวที่มีลักษณะเผชิญหน้ามากขึ้น
    ง. สงครามการค้าเต็มรูปแบบ
    • บริบทเดิม: สงครามการค้าในอดีต (เช่น ช่วงทศวรรษ 1930) นำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจทั่วโลก และ GATT/WTO ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
    • สถานการณ์ปัจจุบัน: สื่ออังกฤษ เช่น Financial Times และ The Guardian ต่างพาดหัวว่า "สงครามการค้าเต็มรูปแบบ" เริ่มขึ้นแล้ว ภาษี 104% ของสหรัฐฯ และ 84% ของจีนไม่ใช่แค่การตอบโต้เฉพาะหน้า แต่เป็นการยกระดับสู่ความขัดแย้งระยะยาวที่อาจลามไปยังประเทศอื่น
    • การเปลี่ยนแปลง: การค้าโลกกำลังเคลื่อนจาก "ความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วม" ไปสู่ "การแข่งขันเพื่อครองอำนาจ" ซึ่งขัดแย้งกับหลักการดั้งเดิมของ GATT/WTO

    3. ระเบียบการค้าโลกเปลี่ยนไปอย่างไร

    • จากความร่วมมือสู่การแข่งขัน: การค้าเสรีที่เน้นความร่วมมือถูกแทนที่ด้วยการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ โดยใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันและต่อสู้
    • จากพหุภาคีสู่ทวิภาคี/ฝ่ายเดียว: บทบาทของ WTO ถูกลดทอน ประเทศเลือกดำเนินนโยบายตามผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าปฏิบัติตามกรอบสากล
    • จากมหาอำนาจเดิมครอบงำสู่การแบ่งขั้ว: การเติบโตของจีนและประเทศเกิดใหม่ทำให้ระเบียบการค้าโลกไม่ใช่เกมที่ครอบงำโดยตะวันตกเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่เกิดการแบ่งขั้วอำนาจระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    • จากเสถียรภาพสู่ความผันผวน: ภาษีสูงสุดในรอบศตวรรษ (ตาม Financial Times) และผลกระทบต่อตลาดหุ้น (เช่น FTSE) แสดงว่าระเบียบการค้าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะไม่แน่นอนและผันผวน

    4. สรุป

    ใช่ ระเบียบการค้าโลกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างแน่นอน จากระบบที่เน้นการค้าเสรี ความร่วมมือ และกฎกติกาสากลภายใต้ GATT/WTO กลายเป็นระบบที่เต็มไปด้วยการปกป้องผลประโยชน์ การเผชิญหน้า และการแบ่งขั้วอำนาจระหว่างมหาอำนาจเก่าและใหม่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปัจจุบัน (เมษายน 2025) เป็นจุดเปลี่ยนที่ยืนยันว่าระเบียบการค้าโลกไม่ได้มุ่งสู่ความเป็นหนึ่งเดียวหรือเสถียรภาพอีกต่อไป แต่กำลังเข้าสู่ยุคแห่งความขัดแย้งและการปรับโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบยาวนานต่อเศรษฐกิจโลกในอนาคต

    แผนการใหญ่ของทรัมป์

    แผนการใหญ่ของทรัมป์:
    การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ของการรื้อถอนรัฐบาลกลางและการรวมอำนาจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

    การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมักถูกมองว่าไร้ระเบียบและไร้ทิศทาง ถูกโต้แย้งโดยนักเศรษฐศาสตร์การเมือง ริชาร์ด เจ. เมอร์ฟี ว่าซ่อนกลยุทธ์อันซับซ้อนไว้: การทำลายอำนาจรัฐบาลกลางอย่างเป็นระบบเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของมหาเศรษฐีเทคโนโลยี

    1. แผนการใหญ่ของทรัมป์
    ริชาร์ด เจ. เมอร์ฟี เสนอว่า การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินการด้วยกลยุทธ์พื้นฐาน แม้จะดูเหมือนไร้ระเบียบ วาทกรรมนี้ ซึ่งทรัมป์ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจน ปรากฏผ่านการวิเคราะห์การกระทำของรัฐบาล เมอร์ฟีชี้ว่า ทรัมป์มุ่งปรับโครงสร้างอำนาจให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ที่ต้องการบ่อนทำลายอำนาจรัฐบาลแบบดั้งเดิม เผยให้เห็นเจตนาที่คำนวณไว้ภายใต้ความไร้ระเบียบผิวเผิน

    2. บทบาทของมหาเศรษฐีเทคโนโลยี
    ทรัมป์ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ “มหาเศรษฐีเทคโนโลยี”—อีลอน มัสก์, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก, เจฟฟ์ เบโซส—ที่มีความมั่งคั่งและอิทธิพลจากอาณาจักรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การปรากฏตัวอย่างเด่นชัดของพวกเขาในพิธีสาบานตนของทรัมป์ บ่งบอกถึงความสัมพันธ์แบบพึ่งพากัน ซึ่งรัฐบาลของทรัมป์ส่งเสริมวาระของพวกเขา โดยให้ความสำคัญกับอำนาจองค์กรเหนืออำนาจอธิปไตยของรัฐ

    3. อำนาจของข้อมูล
    ข้อมูลคือรากฐานของการครอบงำของมหาเศรษฐีเทคโนโลยี ทำให้สามารถคาดการณ์พฤติกรรมและกำหนดเป้าหมายโฆษณาได้ เมอร์ฟีโต้แย้งว่า การควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาเกินกว่าความตระหนักรู้ในตนเองของบุคคล เปิดโอกาสให้มีการบงการ ซึ่งเป็นพลังที่พวกเขาต้องการปกป้องและขยายภายใต้การนำของทรัมป์

    4. ความกลัวต่อการควบคุมการผูกขาด
    มหาเศรษฐีเทคโนโลยีหวาดกลัวกฎหมายต่อต้านการผูกขาดและมาตรการควบคุมข้อมูล ซึ่งแสดงออกผ่านนโยบายของโจ ไบเดนและกรอบการกำกับดูแลของสหภาพยุโรป สิ่งเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจผูกขาดของพวกเขา กระตุ้นให้เกิดพันธมิตรกับทรัมป์เพื่อป้องกันการแทรกแซงของรัฐบาล

    5. บรรทัดฐานทางประวัติศาสตร์ของกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
    เมอร์ฟีเปรียบเทียบกับอเมริกาต้นศตวรรษที่ 20 ที่เท็ดดี รูสเวลต์ใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดเพื่อทำลายการผูกขาดทางรถไฟและเหล็ก การแทรกแซงนี้ฟื้นฟูการแข่งขัน ป้องกันการแสวงหาผลกำไรเกินปกติ ปัจจุบัน การผูกขาดด้านเทคโนโลยีเผชิญการตรวจสอบคล้ายกัน ซึ่งพันธมิตรของทรัมป์พยายามขัดขวาง

    6. ภัยคุกคามของไบเดนต่ออำนาจเทคโนโลยี
    การบริหารของโจ ไบเดนเป็นสัญลักษณ์ของการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดและการควบคุมข้อมูล ท้าทายความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีเทคโนโลยี เมอร์ฟีโต้แย้งว่า ภัยคุกคามนี้กระตุ้นให้พวกเขาสนับสนุนทรัมป์ ซึ่งเป็นพลังต้านการกำกับดูแลของรัฐบาลกลาง

    7. การรื้อถอนรัฐบาลกลาง
    การบริหารของทรัมป์ ผ่านโครงการเช่นกรมประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) มุ่งบ่อนทำลายอำนาจรัฐบาลกลาง เมอร์ฟีตีความว่านี่เป็นกลยุทธ์โดยเจตนาเพื่อลดทอนหน่วยงานที่สามารถควบคุมการผูกขาดด้านเทคโนโลยี

    8. การควบคุมข้อมูลของรัฐบาล
    เป้าหมายสำคัญคือการยึดข้อมูลของรัฐบาลกลาง—ประกันสังคม, กรมสรรพากร, บันทึกทหารผ่านศึก—เพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ เมอร์ฟีชี้ว่านี่อาจผิดกฎหมาย มุ่งอนุญาตให้ใช้ข้อมูลนี้เพื่อเพิ่มอำนาจของเทคโนโลยี

    9. การถ่ายโอนอำนาจสู่รัฐ
    การถ่ายโอนความรับผิดชอบ เช่น การศึกษาและประกันสังคม สู่รัฐ เป็นตัวอย่างของการรื้อถอนรัฐบาลกลาง เมอร์ฟีมองว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อลดทอนอำนาจส่วนกลาง

    10. ผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศ
    การถอนตัวของทรัมป์จากยูเครนมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้สหภาพยุโรป—เป็นภัยคุกคามด้านกฎระเบียบ—ไม่มั่นคง เมอร์ฟีโต้แย้งว่านี่สะท้อนถึงความปรารถนาของมหาเศรษฐีเทคโนโลยีในการลดทอนการกำกับดูแลจากภายนอก

    Monday, April 7, 2025

    หนังสือ Death by China: Confronting the Dragon – A Global Call to Action เขียนโดย Peter Navarro

    หนังสือ Death by China: Confronting the Dragon – A Global Call to Action เขียนโดย Peter Navarro

    หนังสือ Death by China: Confronting the Dragon – A Global Call to Action เขียนโดย Peter Navarro และ Greg Autry ตีพิมพ์ในปี 2011 เป็นงานเขียนที่นำเสนอมุมมองเชิงวิพากษ์ต่อการเติบโตของจีนในฐานะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และวิเคราะห์ว่าจีนเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 21 หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อนโยบายกำแพงภาษี (tariffs) ของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยเฉพาะผ่านบทบาทของ Navarro ซึ่งต่อมาได้เป็นที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ ต่อไปนี้คือการสรุปเนื้อหา ความคิดของผู้เขียน และการวิเคราะห์แยกประเด็น รวมถึงอิทธิพลต่อนโยบายของทรัมป์


    สรุปเนื้อหาหนังสือ

    หนังสือ Death by China อธิบายว่าจีนใช้กลยุทธ์ที่ไม่เป็นธรรมหลายประการเพื่อครองตลาดโลกและทำลายอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ โดย Navarro และ Autry เรียกจีนว่า "มังกร" (Dragon) ที่กำลังคุกคามโลกตะวันตกผ่าน "การฆ่าทางเศรษฐกิจ" เนื้อหาหลักแบ่งออกเป็นประเด็นดังนี้:

    1. การ manipulatiion ทางเศรษฐกิจ
      • ผู้เขียนระบุว่าจีน manipulatiion ค่าเงินหยวนให้ต่ำเกินจริง (currency manipulation) และให้เงินอุดหนุนการส่งออกอย่างผิดกฎหมาย (illegal export subsidies) เพื่อทำให้สินค้าจีนราคาถูกและแข่งขันกับสินค้าอเมริกันได้อย่างไม่เป็นธรรม
      • ผลคือ สินค้าจีน "ท่วม" ตลาดสหรัฐฯ ส่งผลให้บริษัทอเมริกันแข่งขันไม่ได้ และสูญเสียงานในภาคการผลิตไปมาก
    2. สินค้าอันตรายและการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
      • หนังสือกล่าวหาว่าสินค้าจากจีน เช่น ของเล่น เสื้อผ้า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มักมีคุณภาพต่ำและเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค เช่น มีสารพิษหรือเสี่ยงต่อการระเบิด
      • จีนยังถูกกล่าวหาว่าขโมยทรัพย์สินทางปัญญา (intellectual property theft) และละเมิดลิขสิทธิ์ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมของตัวเองโดยไม่ต้องลงทุนด้านนวัตกรรม
    3. นโยบายการค้าที่กีดกัน
      • ผู้เขียนวิจารณ์ว่ารัฐบาลจีนใช้ระบบทุนนิยมแบบผสมผสาน (state capitalism) ที่มีการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ (protectionism) และกีดกันบริษัทต่างชาติจากการเข้าสู่ตลาดจีน
      • ตัวอย่างเช่น การบังคับให้บริษัทอเมริกันถ่ายโอนเทคโนโลยีเพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาด
    4. ภัยคุกคามด้านความมั่นคง
      • นอกเหนือจากเศรษฐกิจ หนังสือยังเตือนว่าความมั่งคั่งที่จีนได้จากการค้าจะถูกนำไปพัฒนากองทัพ ซึ่งอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารกับสหรัฐฯ ในอนาคต
    5. ข้อเสนอแนะ
      • ผู้เขียนเสนอให้สหรัฐฯ ใช้มาตรการตอบโต้ เช่น การตั้งกำแพงภาษี (tariffs) การคว่ำบาตร และการกดดันผ่านองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อหยุดยั้ง "การรุกราน" ทางเศรษฐกิจของจีน
      • พวกเขายังเรียกร้องให้ผู้บริโภคเลิกซื้อสินค้าจากจีน และให้รัฐบาลส่งเสริมการผลิตในประเทศ (reshoring)

    ความคิดของผู้เขียน

    Peter Navarro นักเศรษฐศาสตร์ที่จบปริญญาเอกจาก Harvard และอาจารย์จาก University of California, Irvine ร่วมกับ Greg Autry นักวิชาการด้านธุรกิจ มีมุมมองที่ชัดเจนว่า:

    1. ต่อต้านโลกาภิวัตน์ที่ไม่สมดุล
      • ผู้เขียนมองว่า "การค้าเสรี" (free trade) ในทฤษฎีนั้นดี แต่ในทางปฏิบัติกับจีนนั้นไม่เคยเป็นการค้าเสรีที่แท้จริง เพราะจีนไม่เคารพกฎเกณฑ์สากล
      • พวกเขาเชื่อว่าการที่สหรัฐฯ เปิดรับสินค้าจีนโดยไม่ตอบโต้คือการ "ยอมจำนน" ทางเศรษฐกิจ
    2. ทัศนคติต่อจีน
      • Navarro และ Autry มองจีนในฐานะระบอบเผด็จการ (totalitarian regime) ที่มุ่งครองโลก ไม่ใช่แค่คู่แข่งทางเศรษฐกิจ แต่เป็น "ศัตรู" ที่ต้องเผชิญหน้า
      • ภาษาที่ใช้ในหนังสือ เช่น "มังกร" หรือ "นักฆ่าที่มีประสิทธิภาพที่สุดของโลก" แสดงถึงทัศนคติที่รุนแรงและหวาดระแวง (alarmist)
    3. ชาตินิยมทางเศรษฐกิจ
      • ผู้เขียนสนับสนุนแนวคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจ (economic nationalism) โดยเชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องปกป้องอุตสาหกรรมและงานของตัวเอง แทนที่จะพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน

    วิเคราะห์และอภิปราย

    จุดแข็งของหนังสือ

    • ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้
      บางประเด็นที่ Navarro และ Autry หยิบยกมา เช่น การ manipulatiion ค่าเงินของจีน หรือการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา ได้รับการยอมรับจากนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปว่าเป็นปัญหาจริงในช่วงต้นทศวรรษ 2000 จนถึง 2010
    • การปลุกจิตสำนึก
      หนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จในการจุดประกายให้คนอเมริกันหันมาสนใจผลกระทบของจีนต่อเศรษฐกิจ และกลายเป็น "คู่มือ" สำหรับผู้ที่ไม่พอใจกับโลกาภิวัตน์

    จุดอ่อนและข้อโต้แย้ง

    • น้ำเสียงเกินจริงและลำเอียง
      นักวิจารณ์ เช่น Andrew O'Hehir จาก Salon และ Neil Genzlinger จาก The New York Times ชี้ว่าน้ำเสียงของหนังสือ "เกินจริง" (sensationalist) และ " односторонний" (one-sided) โดยขาดการนำเสนอทางออกที่สมดุลหรือมุมมองจากฝั่งจีน
    • ข้อโต้แย้งทางเศรษฐศาสตร์
      นักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก เช่น Marcus Noland จาก Peterson Institute for International Economics วิจารณ์ว่าแนวคิดของ Navarro ขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ที่หนักแน่น และมองข้ามปัจจัยอื่น เช่น การขาดการออมในสหรัฐฯ ที่ทำให้เกิดการขาดดุลการค้า ไม่ใช่แค่การกระทำของจีน
    • กรณี Ron Vara
      ความน่าเชื่อถือของ Navarro ตกต่ำเมื่อมีการเปิดเผยในปี 2019 ว่า "Ron Vara" ผู้เชี่ยวชาญที่เขาอ้างถึงบ่อยๆ ในหนังสือ เป็นตัวละครสมมติที่เขาสร้างขึ้นเอง (anagram ของ Navarro) ซึ่งทำให้เกิดคำถามถึงความซื่อสัตย์ทางวิชาการ

    แยกประเด็น: อิทธิพลต่อนโยบายทรัมป์

    1. จุดเริ่มต้นของอิทธิพล
      • ทรัมป์รู้จัก Navarro ผ่านหนังสือ Death by China ซึ่ง Jared Kushner ลูกเขยของทรัมป์พบใน Amazon และแนะนำให้ทรัมป์ในช่วงหาเสียงปี 2016
      • ทรัมป์ชื่นชมหนังสือและสารคดีที่ดัดแปลงจากหนังสือ (นarrated โดย Martin Sheen) โดยระบุว่า "มันถูกต้อง" และ "แสดงปัญหากับจีนด้วยข้อเท็จจริง"
    2. การแปลเป็นนโยบาย
      • Navarro เข้าร่วมทีมหาเสียงของทรัมป์ในฐานะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ และต่อมาได้เป็นผู้อำนวยการ National Trade Council และ Office of Trade and Manufacturing Policy ในรัฐบาลทรัมป์
      • ไอเดียหลักจากหนังสือ เช่น การตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมอเมริกัน ถูกนำไปใช้จริง เช่น การตั้งภาษี 25% ต่อสินค้าจีนมูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 ซึ่งนำไปสู่สงครามการค้ากับจีน (China-US Trade War)
    3. ผลกระทบ
      • ด้านบวก: ผู้สนับสนุนทรัมป์และ Navarro มองว่านโยบายนี้ช่วยกดดันจีนให้เจรจาข้อตกลงการค้า Phase One ในปี 2020 และกระตุ้นให้บางบริษัทย้ายการผลิตกลับสหรัฐฯ
      • ด้านลบ: นักวิจารณ์ชี้ว่าภาษีกลายเป็น "ภาษีถดถอย" (regressive tax) ที่เพิ่มต้นทุนให้ผู้บริโภคอเมริกัน สร้างความผันผวนในตลาดการเงิน และไม่สามารถลดการขาดดุลการค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ

    เบื้องหลังและความสำคัญ

    • บริบทส่วนตัวของ Navarro: Navarro เป็นนักวิชาการที่มีประวัติต่อต้านจีนมานานก่อนเขียน Death by China เช่น ในหนังสือ The Coming China Wars (2006) แสดงให้เห็นว่าเขามีอคติต่อจีนที่ฝังรากลึก ซึ่งอาจมาจากความกังวลต่อการสูญเสียงานในสหรัฐฯ
    • บริบทการเมือง: หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในช่วงที่สหรัฐฯ เริ่มตื่นตัวกับการสูญเสียงานในภาคการผลิต และความนิยมของทรัมป์ในฐานะผู้สมัครที่ต่อต้านโลกาภิวัตน์ ทำให้ไอเดียของ Navarro สอดคล้องกับกระแสประชานิยม (populism)
    • อิทธิพลต่อทรัมป์: ทรัมป์ ซึ่งไม่ใช่นักวิชาการหรือนักอ่านตัวยง อาจถูกล่อใจด้วยภาษาที่เรียบง่ายและเร้าอารมณ์ของ Navarro มากกว่าการวิเคราะห์เชิงลึก ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่านโยบายภาษีของเขามาจาก "สัญชาตญาณ" ที่ Navarro เสริมแรง (reinforced) มากกว่าการคำนวณอย่างรอบคอบ

    สรุป

    Death by China เป็นหนังสือที่สะท้อนความหวาดกลัวและความไม่พอใจต่อการผงาดขึ้นมาของจีนในเวทีเศรษฐกิจโลก โดย Navarro และ Autry ใช้ข้อมูลผสมผสานกับวาทศิลป์ที่รุนแรงเพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯ ตอบโต้ อิทธิพลของมันต่อนโยบายภาษีของทรัมป์แสดงให้เห็นว่าไอเดียจากหนังสือสามารถกลายเป็นนโยบายระดับชาติได้เมื่อมีผู้นำที่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม ความน่าเชื่อถือของหนังสือและผลลัพธ์ของนโยบายยังคงเป็นที่ถกเถียง โดยบางคนมองว่าเป็นการปกป้องชาติที่จำเป็น ขณะที่คนอื่นเห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่ขาดเหตุผลและก่อผลเสียมากกว่าผลดี



    สรุปหนังสือ Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanities โดย Martha C. Nussbaum (2010)

    สรุปหนังสือ Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanities โดย Martha C. Nussbaum (2010)


    หนังสือ Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanities โดย Martha C. Nussbaum (2010) เผยแพร่โดย Princeton University Press นำเสนอข้อโต้แย้งที่หนักแน่นเกี่ยวกับความสำคัญของมนุษยศาสตร์ในการรักษาและส่งเสริมประชาธิปไตย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ระบบการศึกษาทั่วโลกเผชิญแรงกดดันให้มุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจและทักษะที่เน้นการปฏิบัติเป็นหลัก Nussbaum วิพากษ์วิจารณ์แนวโน้มที่ลดทอนคุณค่าของมนุษยศาสตร์ เช่น วรรณคดี ปรัชญา และศิลปะ เพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมที่มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเธอแย้งว่าการเปลี่ยนแปลงนี้อันตรายต่อการพัฒนาพลเมืองที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในระบอบประชาธิปไตย

    สาระสำคัญของหนังสือ

    1. ความจำเป็นของมนุษยศาสตร์ต่อประชาธิปไตย
      Nussbaum เน้นว่าประชาธิปไตยต้องอาศัยพลเมืองที่สามารถคิดวิเคราะห์ ตั้งคำถามกับอำนาจ และเข้าใจมุมมองที่หลากหลายได้ มนุษยศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังทักษะเหล่านี้ โดยส่งเสริมความเห็นอกเห็นใจ การให้เหตุผลเชิงจริยธรรม และความตระหนักในความซับซ้อนของประสบการณ์มนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการปกครองตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ
    2. วิกฤตการศึกษาในยุคปัจจุบัน
      เธอวิจารณ์ระบบการศึกษาที่ให้ความสำคัญกับการวัดผลเชิงปริมาณและการฝึกทักษะที่มุ่งเน้นตลาดแรงงาน เช่น STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) โดยมองข้ามมนุษยศาสตร์ เธอแย้งว่านโยบายนี้สร้าง “พลเมืองที่ว่านอนสอนง่าย” ซึ่งขาดความสามารถในการวิพากษ์วิจารณ์และปรับตัว ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อความมีชีวิตชีวาของประชาธิปไตย
    3. แนวคิด “การศึกษาเพื่อพัฒนาความสามารถ”
      Nussbaum สานต่อแนวคิด “แนวทางความสามารถ” (Capabilities Approach) ที่เธอพัฒนาร่วมกับ Amartya Sen โดยเสนอว่าการศึกษาควรเน้นการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์อย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่การเตรียมคนสำหรับงาน มนุษยศาสตร์ช่วยให้บุคคลพัฒนาความสามารถ เช่น การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความเข้าใจในวัฒนธรรมอื่น และความรู้สึกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม
    4. ตัวอย่างเปรียบเทียบจากทั่วโลก
      เธอเปรียบเทียบระบบการศึกษาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งครั้งหนึ่งเคยให้ความสำคัญกับศิลปศาสตร์ กับแนวโน้มในประเทศอื่นๆ เช่น อินเดียและยุโรป ที่การศึกษากำลังถูกทำให้เป็นเครื่องมือเพื่อผลกำไร Nussbaum ชื่นชมแบบจำลองของ Socratic pedagogy (การสอนแบบซอกเกรตีส) ที่เน้นการตั้งคำถามและการสนทนา ซึ่งเป็นรากฐานของการศึกษาประชาธิปไตย
    5. ผลกระทบต่อสังคมและการเมือง
      การละเลยมนุษยศาสตร์นำไปสู่สังคมที่ขาดความเห็นอกเห็นใจและความเข้าใจในความหลากหลาย ซึ่งอาจทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของลัทธิเผด็จการและการแบ่งแยก Nussbaum เน้นว่าการศึกษาที่เน้นมนุษยศาสตร์สามารถต่อต้านแนวโน้มเหล่านี้ได้ด้วยการส่งเสริมความเป็นพลเมืองโลกและความยุติธรรมทางสังคม

    ข้อสรุปหลัก

    Nussbaum สรุปว่าการลดทอนมนุษยศาสตร์ในระบบการศึกษาไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตยในระยะยาว เธอเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการศึกษาเพื่อฟื้นฟูความสำคัญของมนุษยศาสตร์ โดยแย้งว่าการลงทุนในด้านนี้ไม่ใช่ “ความฟุ่มเฟือย” แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของสังคมที่เป็นธรรมและมีส่วนร่วม หนังสือเล่มนี้จึงเป็นทั้งคำเตือนและคำเชิญชวนให้ผู้กำหนดนโยบาย นักการศึกษา และประชาชนทั่วไปตระหนักถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างการศึกษาและประชาธิปไตย

    หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจปรัชญาการศึกษา ทฤษฎีประชาธิปไตย และผลกระทบของนโยบายการศึกษาต่อสังคม โดยนำเสนอกรณีที่ทรงพลังว่าทำไมมนุษยศาสตร์ถึงยังคงมีความสำคัญในโลกที่เน้นผลกำไรเป็นศูนย์กลางมากขึ้นเรื่อยๆ

    การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์จากการประชุมครูรางวัลโนเบล 2025

    การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์จากการประชุมครูรางวัลโนเบล 2025



    การประชุมครูรางวัลโนเบล 2025 ซึ่งจัดขึ้นที่สตอกโฮล์มโดยพิพิธภัณฑ์รางวัลโนเบล เป็นเวทีปัญญาที่สำคัญสำหรับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างการศึกษา ประชาธิปไตย และวิกฤตการณ์หลากมิติที่เผชิญอยู่ในสังคมร่วมสมัย หัวข้อ “อนาคตของประชาธิปไตยเมื่อเผชิญกับความท้าทายแห่งยุคสมัย” สะท้อนถึงการสอบสวนเร่งด่วนเกี่ยวกับความยืดหยุ่นของประชาธิปไตยท่ามกลางการกลายเป็นเผด็จการ ข้อมูลเท็จ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
    1. บทนำสู่การประชุมครูรางวัลโนเบล 2025
    2. อนาคตของประชาธิปไตย: หัวข้อและบริบท
    3. บทบาทของครูในการปกป้องประชาธิปไตย
    4. การมีส่วนร่วมของผู้ได้รับรางวัลโนเบลต่อประชาธิปไตยและสันติภาพ
    5. ความท้าทายของการกลายเป็นเผด็จการและข้อมูลเท็จ
    6. เสรีภาพในการแสดงออกในฐานะรากฐานของประชาธิปไตย
    7. ปัญญาประดิษฐ์และผลกระทบต่อประชาธิปไตย
    8. วัฒนธรรมประชาธิปไตยและการศึกษา
    9. สถาบันที่ครอบคลุมและการพัฒนาเศรษฐกิจ
    10. การมีส่วนร่วมทางสังคมผ่านศิลปะและกีฬา

    2) การอธิบายรายละเอียดของหัวข้อสำคัญสิบประการ

    1) บทนำสู่การประชุมครูรางวัลโนเบล 2025
    การประชุมครูรางวัลโนเบล 2025 จัดขึ้นที่สตอกโฮล์มโดยพิพิธภัณฑ์รางวัลโนเบล รวบรวมครูประมาณ 350 คนจากทั่วโลกเพื่อรับฟังวิทยากรชั้นนำ รวมถึงผู้ได้รับรางวัลโนเบล 2 ท่าน L. Yepson และ Hannis Johnny เปิดตัวการประชุมในรูปแบบศูนย์กลาง (hubs) เพื่อส่งเสริมการอภิปรายในระดับท้องถิ่น โดยมีทรัพยากร เช่น การบันทึกการบรรยายและสมุดงานที่เข้าถึงได้ง่าย

    2) อนาคตของประชาธิปไตย: หัวข้อและบริบท
    หัวข้อ “อนาคตของประชาธิปไตยเมื่อเผชิญกับความท้าทายแห่งยุคสมัย” นำเสนอประชาธิปไตยในฐานะสิ่งที่ต้องปรับตัวท่ามกลางความตึงเครียด Corin Clauson ชี้ให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างความสิ้นหวังและความหวัง โดยวางประชาธิปไตยในบริบทโลกที่ปั่นป่วน ซึ่งเผชิญกับภัยคุกคามจากลัทธิประชานิยมและความจำเป็นในการฟื้นฟู

    3) บทบาทของครูในการปกป้องประชาธิปไตย
    ครูถูกมองว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังค่านิยมประชาธิปไตย โดยมีหน้าที่สอนความไว้วางใจ การคิดวิเคราะห์ และการมีส่วนร่วมของพลเมือง Hannis Johnny และวิทยากรคนอื่นๆ เน้นย้ำถึงความรับผิดชอบของครูในการเตรียมนักเรียนให้เผชิญหน้ากับข้อมูลเท็จและรักษาความสมบูรณ์ของประชาธิปไตย

    4) การมีส่วนร่วมของผู้ได้รับรางวัลโนเบลต่อประชาธิปไตยและสันติภาพ
    Maria Ressa (รางวัลสันติภาพ 2021) และ Leymah Gbowee (รางวัลสันติภาพ 2011) เป็นตัวอย่างของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยผ่านการสื่อสารมวลชนและการเคลื่อนไหวแบบอหิงสา Ressa ปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก ส่วน Gbowee ระดมพลังสตรีในไลบีเรียเพื่อสันติภาพ เป็นแบบอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจให้ครู

    5) ความท้าทายของการกลายเป็นเผด็จการและข้อมูลเท็จ
    Stefan Lindberg จาก V-Dem ระบุว่า 72% ของโลกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการในปี 2025 Maria Ressa ชี้ว่าข้อมูลเท็จที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดียทำลายความไว้วางใจและความจริง ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อการปกครองแบบประชาธิปไตย

    6) เสรีภาพในการแสดงออกในฐานะรากฐานของประชาธิปไตย
    Bit Reen และ Maria Ressa เน้นย้ำว่าเสรีภาพในการแสดงออกเป็นเงื่อนไขพื้นฐานของประชาธิปไตย Ressa แบ่งปันประสบการณ์ภายใต้ระบอบ Duterte ส่วน Reen อธิบายเกณฑ์รางวัลสันติภาพ ซึ่งแสดงถึงความสำคัญของการวิพากษ์วิจารณ์และความรับผิดชอบในระบอบประชาธิปไตย

    7) ปัญญาประดิษฐ์และผลกระทบต่อประชาธิปไตย
    Virginia Dignum วิจารณ์ศักยภาพคู่ของ AI ที่ทั้งสนับสนุนและคุกคามประชาธิปไตย เธอเรียกร้องให้มีการกำกับดูแลเพื่อให้แน่ใจว่า AI สนับสนุนกระบวนการประชาธิปไตย และกระตุ้นให้ครูสอนการมีส่วนร่วมอย่างมีวิจารณญาณกับเทคโนโลยี

    8) วัฒนธรรมประชาธิปไตยและการศึกษา
    Claudia Lenz นำเสนอกรอบความสามารถประชาธิปไตยของสภายุโรป ซึ่งบูรณาการค่านิยม ทัศนคติ ทักษะ และความรู้ เพื่อสร้างพลเมืองที่ยืดหยุ่น สามารถเจรจาข้ามวัฒนธรรมและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในประชาธิปไตยแบบพหุนิยม

    9) สถาบันที่ครอบคลุมและการพัฒนาเศรษฐกิจ
    Darren Acemoglu (รางวัลเศรษฐศาสตร์ 2024) แสดงให้เห็นว่าสถาบันที่ครอบคลุมส่งเสริมความเจริญรุ่งเรือง ต่างจากสถาบันที่กดขี่จากมรดกอาณานิคม John Hassler อธิบายถึงความสัมพันธ์เชิงสาเหตุนี้ ซึ่งท้าทายสมมติฐานที่ว่ารายได้นำไปสู่ประชาธิปไตย

    10) การมีส่วนร่วมทางสังคมผ่านศิลปะและกีฬา
    Adam Taal ผ่าน Katarina Kupa ผสมผสานปิงปองและดนตรีเพื่อดึงดูดเยาวชนชายขอบ ส่วน Maria Wetterstrand สะท้อนถึงการกระทำร่วมกันทางการเมือง กิจกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมและกีฬาสามารถส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความยืดหยุ่นของชุมชน . . .

    การแนะนำการประชุมโดย L. Yepson และ Hannis Johnny ได้กำหนดเวทีระดับโลกที่ครู 350 คนมารวมตัวกันเพื่อมีส่วนร่วมกับบุคคลสำคัญ รวมถึง Maria Ressa และ Leymah Gbowee รูปแบบศูนย์กลาง (hubs) นี้ส่งเสริมการอภิปรายในระดับท้องถิ่น โดยแสดงถึงจิตวิญญาณประชาธิปไตยของการรวมตัวและการเข้าถึงได้ การมุ่งเน้นที่อนาคตของประชาธิปไตยตามที่ Corin Clauson เสนอ เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างความสิ้นหวังและความหวัง ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดของ Hannah Arendt (1951) เกี่ยวกับการกระทำทางการเมืองที่เป็นตัวต้านความว่างเปล่าของลัทธิเผด็จการ ความขัดแย้งนี้กำหนดให้ประชาธิปไตยไม่ใช่อุดมคติที่ตายตัว แต่เป็นพื้นที่ที่ต้องต่อสู้เพื่อรักษาไว้

    หัวใจของการรักษานี้คือบทบาทของครู ซึ่ง Johnny และผู้อื่นมองว่าเป็นผู้สร้างความยืดหยุ่นของประชาธิปไตย ด้วยภาระหน้าที่ในการปลูกฝังความไว้วางใจ การคิดวิเคราะห์ และการมีส่วนร่วมของพลเมือง ครูเชื่อมโยงหลักการประชาธิปไตยที่เป็นนามธรรมกับการปฏิบัติจริง สอดคล้องกับปรัชญาการศึกษาของ John Dewey (1916) ที่มองว่าการศึกษาเป็นพลังชีวิตของประชาธิปไตย การเน้นย้ำถึงครูในฐานะตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงนี้ตอกย้ำถึงพลังของพวกเขาในการต่อต้านความสงสัยเชิงญาณวิทยาที่ Arendt เตือนไว้ โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลเท็จแพร่กระจายอย่างกว้างขวาง

    การมีส่วนร่วมของ Ressa และ Gbowee ส่องสว่างถึงพลังของบุคคลและกลุ่มในกรอบนี้ Ressa ปกป้องเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้ระบอบ Duterte เผยให้เห็นว่าข้อมูลเท็จที่ขยายโดยโซเชียลมีเดียทำลายความเป็นจริงร่วมกันที่จำเป็นสำหรับการพิจารณาแบบประชาธิปไตย Gbowee แสดงให้เห็นถึงการต่อต้านแบบอหิงสาต่อความรุนแรงแบบเผด็จการในไลบีเรีย เรื่องราวของทั้งสองสอดคล้องกับข้อโต้แย้งของ Amartya Sen (1999) ว่าการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตยเพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ โดยนำเสนอตัวอย่างที่จับต้องได้ของความยืดหยุ่นและความกล้าหาญทางศีลธรรมสำหรับครู

    อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างเหล่านี้เผชิญหน้ากับศัตรูที่น่าเกรงขาม: การเพิ่มขึ้นของการกลายเป็นเผด็จการและข้อมูลเท็จทั่วโลก ข้อมูลของ Stefan Lindberg จาก V-Dem ที่ระบุว่า 72% ของโลกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการในปี 2025 สอดคล้องกับรายงานของ Freedom House (2024) เกี่ยวกับการถดถอยของประชาธิปไตย การยืนยันของ Ressa ว่าคำโกหกที่ผสมด้วยความกลัวและความโกรธแพร่กระจายเร็วกว่าหกเท่าทางออนไลน์ สอดคล้องกับการวิเคราะห์ของ Sunstein (2017) เกี่ยวกับห้องสะท้อนเสียง ซึ่งเน้นย้ำถึงการสมรู้ร่วมคิดของเทคโนโลยีในการแตกแยกฉันทามติประชาธิปไตย

    เสรีภาพในการแสดงออกกลายเป็นจุดยึดสำคัญในการต่อสู้ครั้งนี้ Bit Reen และ Ressa เน้นย้ำถึงบทบาทของมันในการทำให้เกิดความรับผิดชอบและสันติภาพ สอดคล้องกับทฤษฎีการกระทำเชิงสื่อสารของ Jürgen Habermas (1989) การวิจารณ์ของ Ressa ต่อทุนนิยมการสอดส่องเน้นย้ำถึงวิธีที่การจำกัดการแสดงออกบ่อนทำลายพลังของมนุษย์ ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อสารมวลชนและประชาธิปไตยนี้เรียกร้องให้ครูสอนนักเรียนให้แยกแยะความจริงจากกลอุบาย

    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพิ่มความซับซ้อนอีกชั้นหนึ่ง Virginia Dignum เรียกร้องให้มีการกำกับดูแล AI อย่างรับผิดชอบ สอดคล้องกับกรอบจริยธรรมของ Floridi (2018) การเปรียบเทียบของเธอเกี่ยวกับ AI ที่ขาด “เบรก” หรือ “กฎจราจร” กระตุ้นให้ครูปลูกฝังความรู้ด้านเทคโนโลยี เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนใช้ AI เป็นเครื่องมือมากกว่าที่จะพึ่งพามันจนสูญเสียความสามารถในการวิเคราะห์

    Claudia Lenz นำเสนอกรอบความสามารถประชาธิปไตยของสภายุโรป ซึ่งบูรณาการค่านิยม ทัศนคติ ทักษะ และความรู้ เพื่อปลูกฝังพลเมืองที่ยืดหยุ่น สอดคล้องกับแนวทางความสามารถของ Nussbaum (2010) ความยืนกรานของ Lenz ในเรื่องความเต็มใจควบคู่ไปกับความสามารถท้าทายครูให้เป็นแบบอย่างของพฤติกรรมประชาธิปไตย

    Darren Acemoglu แสดงให้เห็นว่าสถาบันที่ครอบคลุมส่งเสริมความเจริญรุ่งเรือง สอดคล้องกับทฤษฎีสถาบันของ Acemoglu และ Robinson (2012) ความสัมพันธ์เชิงสาเหตุนี้ท้าทายทฤษฎีการปรับให้ทันสมัย โดยครูต้องให้บริบทเกี่ยวกับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของประชาธิปไตย

    Adam Taal และ Maria Wetterstrand แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการทำให้เกิดประชาธิปไตยผ่านการมีส่วนร่วมทางสังคม Taal ดึงดูดเยาวชนชายขอบผ่านศิลปะและกีฬา สอดคล้องกับทฤษฎีทุนทางสังคมของ Putnam (2000) ส่วน Wetterstrand นำทางความตึงเครียดระหว่างอุดมการณ์และการประนีประนอม

    โดยสรุป การประชุมครูรางวัลโนเบล 2025 ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการศึกษาในการปกป้องประชาธิปไตยจากการกลายเป็นเผด็จการ ข้อมูลเท็จ และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ครูในฐานะผู้รับและผู้ส่งต่อมรดกนี้ มีหน้าที่ปลูกฝังพลเมืองที่มีความรู้และมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นภารกิจที่ท้าทายและจำเป็นในยุคที่ประชาธิปไตยเผชิญอันตรายถึงขั้นวิกฤต

    เอกสารอ้างอิง

    • Acemoglu, D., & Robinson, J. A. (2012). Why Nations Fail. Crown Business.
    • Arendt, H. (1951). The Origins of Totalitarianism. Harcourt.
    • Dewey, J. (1916). Democracy and Education. Macmillan.
    • Floridi, L. (2018). Soft Ethics and the Governance of the Digital. Philosophy & Technology, 31(1), 1-8.
    • Freedom House. (2024). Freedom in the World 2024.
    • Habermas, J. (1989). The Theory of Communicative Action. Beacon Press.
    • Nussbaum, M. C. (2010). Not for Profit: Why Democracy Needs the Humanities. Princeton University Press.
    • Putnam, R. D. (2000). Bowling Alone. Simon & Schuster.
    • Sen, A. (1999). Development as Freedom. Oxford University Press.
    • Sunstein, C. R. (2017). #Republic: Divided Democracy in the Age of Social Media. Princeton University Press.

    ภาษีของทรัมป์: การย้อนสู่อดีตในมุมมองของฟารีด ซาคาเรีย

    ภาษีของทรัมป์:
    การย้อนสู่อดีตในมุมมองของฟารีด ซาคาเรีย

    หัวข้อหลัก

    ฟารีด ซาคาเรีย นักวิเคราะห์ชื่อดังแห่ง CNN ได้นำเสนอมุมมองผ่านรายการ "Fareed's Take" ว่า นโยบายภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบในเดือนเมษายน 2568 เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงแนวคิดที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ เขาเห็นว่านโยบายนี้สะท้อนถึงการยึดติดกับอดีตมากกว่าการมองไปข้างหน้าเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของสหรัฐในเวทีโลก

    ประเด็นข้อโต้แย้ง

    ซาคาเรียโต้แย้งว่านโยบายภาษีของทรัมป์ เช่น ภาษีนำเข้า 10% ทั่วไป และอัตราที่สูงขึ้นสำหรับบางประเทศ เช่น 34% สำหรับจีน และ 20% สำหรับสหภาพยุโรป เป็นนโยบายที่มองย้อนกลับไปสู่วิธีคิดแบบปกป้องการค้าในศตวรรษที่ 19 เขามองว่าการยึดติดกับกำแพงภาษีเช่นนี้ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการตอบโจทย์ความท้าทายของยุคสมัย แต่ยังอาจนำพาสหรัฐและโลกเข้าสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ไม่จำเป็น

    เหตุผลสนับสนุน

    ประการแรก ซาคาเรียชี้ว่าเศรษฐกิจสมัยใหม่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการปกป้องอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิมอีกต่อไป แต่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกและการค้าเสรี ซึ่งช่วยให้สหรัฐครองความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและบริการ ภาษีของทรัมป์ขัดขวางการไหลเวียนนี้ และอาจทำให้บริษัททั่วโลกเลือกปรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าแทนที่จะย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐตามที่ทรัมป์หวัง

    ประการที่สอง เขาเน้นถึงผลกระทบเชิงลบที่เห็นได้ชัดในต้นปี 2568 เช่น ตลาดหุ้นที่ร่วงลง ความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอย และคำเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำอย่าง Goldman Sachs และ JPMorgan ว่าภาษีจะยิ่งซ้ำเติมเงินเฟ้อและชะลอการเติบโต ผู้บริโภคอเมริกันต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น โดยอาจเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มถึง 2,100 ดอลลาร์ต่อครัวเรือนต่อปี ซึ่งพิสูจน์ว่านโยบายนี้ไม่ได้ผลตามเป้าหมาย

    ประการที่สาม ซาคาเรียวิจารณ์ว่าทรัมป์เข้าใจผิดเกี่ยวกับจุดแข็งที่แท้จริงของสหรัฐ สหรัฐไม่ได้แข็งแกร่งจากการเป็นโรงงานของโลกอีกต่อไป แต่มาจากนวัตกรรมและการครองตลาดในภาคบริการ ภาษีที่มุ่งปกป้องการผลิตแบบเก่าจึงเสี่ยงต่อการบ่อนทำลายความได้เปรียบนี้ และอาจดึงสหรัฐกลับไปสู่อดีตที่แยกตัวและด้อยพัฒนา

    ประการสุดท้าย เขาเตือนถึงผลกระทบระดับโลก โดยระบุว่าภาษีเหล่านี้ทำให้พันธมิตรอย่างแคนาดา เม็กซิโก และสหภาพยุโรปห่างเหิน ขณะที่จีนเตรียมตอบโต้ด้วยมาตรการของตนเอง สิ่งนี้ผลักดันโลกไปสู่สงครามการค้าและความแตกแยกทางเศรษฐกิจ ซึ่งขัดแย้งกับความร่วมมือที่โลกต้องการในยุคนี้

    บทสรุป

    ในทัศนะของฟารีด ซาคาเรีย ภาษีของทรัมป์ไม่ใช่แค่เครื่องมือทางเศรษฐกิจที่ผิดยุค แต่ยังเป็นสัญญาณของมุมมองที่ยึดติดกับอดีตและขาดความเข้าใจในพลวัตของโลกสมัยใหม่ แม้ทรัมป์อาจตั้งใจใช้ภาษีเพื่อฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของสหรัฐ แต่ซาคาเรียเห็นว่ามันกลับกลายเป็นการทำลายโอกาสของชาติ โดยผลักดันให้สหรัฐและโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนและความถดถอย เขาเรียกนโยบายนี้ว่า "จินตนาการของศตวรรษที่ 19" และเตือนว่าหากไม่ปรับเปลี่ยน สหรัฐอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังในโลกที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


    ภาษีของทรัมป์และการปรับโครงสร้างการค้าโลก

    ภาษีของทรัมป์และการปรับโครงสร้างการค้าโลก

    บทนำ
    เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในนโยบายการค้าด้วยการประกาศใช้ภาษีครอบคลุม ซึ่งเรียกว่า "วันปลดปล่อย" นโยบายนี้กำหนดภาษีพื้นฐาน 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั้งหมดและอัตราตอบแทนสูงสุดถึง 54% โดยมุ่งรื้อถอนโลกาภิวัตน์ที่สหรัฐเป็นผู้นำมานานหลายทศวรรษ บทความนี้วิเคราะห์สิบมิติที่เชื่อมโยงกันของนโยบายนี้อย่างมีวิจารณญาณ โดยอ้างอิงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และแบบอย่างทางประวัติศาสตร์

    ขอบเขตและขนาดที่ไม่เคยมีมาก่อน
    ภาษีนี้ครอบคลุมกว้างขวาง โดยกำหนดอัตราภาษี 10% และสูงสุดถึง 54% ส่งผลกระทบต่อกว่า 60 ประเทศ การดำเนินการนี้สะท้อนถึงการยืนยันอธิปไตยทางเศรษฐกิจเชิงสัญลักษณ์ แต่เสี่ยงต่อการตอบโต้ที่อาจรบกวนสมดุลการค้าโลก (Bhagwati, 2002)

    ผลกระทบทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา
    ในประเทศ ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างรุนแรง นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าราคาจะสูงขึ้น ขัดแย้งกับคำกล่าวอ้างของทรัมป์ (Krugman, 2018) ความเสียหายนี้ท้าทายแนวคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจ

    การปรับโครงสร้างการค้าทั่วโลก
    นโยบายนี้รื้อถอนระบบการค้าหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การปกป้องนี้คุกคามห่วงโซ่อุปทานและการจ้างงานทั่วโลก (Rodrik, 2011) จีนตอบโต้ด้วยภาษี 34% ซึ่งบ่งบอกถึงความระส่ำระส่าย

    ข้อบกพร่องในการคำนวณภาษี
    การคำนวณภาษีแบบตอบแทนใช้สูตรที่ขาดความน่าเชื่อถือทางวิชาการ (Irwin, 2017) การตัดสินใจนี้อาจสะท้อนถึงจุดยืนทางการเมืองมากกว่าหลักการเศรษฐศาสตร์

    ผลกระทบต่อราคาผู้บริโภค
    ราคาสินค้าจะสูงขึ้นในระยะยาว โดยเฉพาะสินค้าจากเอเชีย (Peterson Institute, 2022) ผลกระทบนี้จะหนักหน่วงต่อครัวเรือนรายได้ต่ำ

    วัตถุประสงค์และความเป็นไปได้
    ทรัมป์ตั้งเป้าสร้างรายได้และนำการผลิตกลับมา แต่ห่วงโซ่อุปทานโลกทำให้เป้าหมายนี้ท้าทาย (Stiglitz, 2017)

    ความถดถอยของนโยบาย
    ภาษีนี้เพิ่มภาระให้ผู้มีรายได้ต่ำ ขณะที่การลดภาษีเอื้อผู้มั่งคั่ง (Piketty, 2014) ซึ่งขัดแย้งกับผลประโยชน์ของการค้าเสรี

    การตอบสนองของเอเชีย
    เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญภาษีสูง จีนตอบโต้ ขณะที่พันธมิตรพยายามเจรจา (Helleiner, 2021) การเปลี่ยนแปลงนี้อาจบั่นทอนอิทธิพลสหรัฐ

    ผลกระทบทางภูมิรัฐศาสตร์
    นโยบายนี้ทำให้พันธมิตรห่างเหินและเสริมอำนาจจีน (Keohane, 1984) อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทั่วโลกในยุคที่มีความท้าทายอื่นๆ

    สรุป
    ภาษีของทรัมป์เป็นการทดลองที่กล้าหาญแต่บกพร่อง ซึ่งอาจกลายเป็นบทเรียนของการใช้อำนาจฝ่ายเดียวเกินควร การวิจัยในอนาคตต้องติดตามผลกระทบระยะยาว

    เอกสารอ้างอิง
    Bhagwati, J. (2002). Free Trade Today. Princeton University Press.
    Helleiner, E. (2021). The Return of Economic Nationalism. Cambridge University Press.
    Irwin, D. (2017). Clashing over Commerce. University of Chicago Press.
    Keohane, R. (1984). After Hegemony. Princeton University Press.
    Krugman, P. (2018). International Economics. Pearson.
    Peterson Institute for International Economics. (2022). Trade Policy Outlook.
    Piketty, T. (2014). Capital in the Twenty-First Century. Harvard University Press.
    Rodrik, D. (2011). The Globalization Paradox. Norton.
    Stiglitz, J. (2017). Globalization and Its Discontents Revisited. Norton.

    Friday, April 4, 2025

    ประชาธิปไตย: การเดินทางของอุดมการณ์ที่เปลี่ยนโลก

     

    ประชาธิปไตย:
    การเดินทางของอุดมการณ์ที่เปลี่ยนโลก

    บทนำ: ทำไมเราต้องเรียนรู้เรื่องประชาธิปไตย?

    ลองนึกภาพโลกที่ทุกคนมีสิทธิ์พูด มีส่วนร่วม และกำหนดอนาคตของตัวเองได้ นี่คือแก่นของ "ประชาธิปไตย" หรือที่เราจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า "ปชต." คำนี้ไม่ใช่แค่ศัพท์ในตำราการเมือง แต่มันคือพลังที่ขับเคลื่อนสังคมทั่วโลกมานานนับศตวรรษ ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง คุณอาจสงสัยว่า "แล้วมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตฉัน?" คำตอบคือ ทุกอย่าง! ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน อ่านข่าวการเลือกตั้ง หรือเห็นการประท้วงผ่านโซเชียลมีเดีย ประชาธิปไตยคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้

    ในบทเรียนนี้ เราจะพาคุณเดินทางไปสำรวจประชาธิปไตย ตั้งแต่จุดกำเนิดในอดีตอันไกลโพ้น ไปจนถึงความท้าทายในโลกยุคดิจิทัลปี 2025 ผ่าน 15 หัวข้อใหญ่ที่ครอบคลุมทุกมิติ คุณจะได้เห็นว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่ระบบการปกครอง แต่เป็นแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คน และบางครั้งก็ถูกท้าทายจากทั้งภายในและภายนอก แล้วคุณพร้อมที่จะดำดิ่งไปกับมันหรือยัง?


    01 พัฒนาการแนวคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตย

    จุดเริ่มต้นของอำนาจประชาชน

    คำว่า "ประชาธิปไตย" มาจากภาษากรีกโบราณ "demos" (ประชาชน) และ "kratos" (อำนาจ) รวมกันหมายถึง "อำนาจของประชาชน" ต้นกำเนิดของมันย้อนไปถึงเมืองเอเธนส์เมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว ที่นั่น ชาวเมืองผู้ชาย (เฉพาะผู้ชาย เพราะยุคนั้นยังไม่นับผู้หญิงหรือทาส) รวมตัวกันในที่ประชุมเพื่อโหวตตัดสินใจเรื่องสำคัญ เช่น จะทำสงครามกับสปาร์ตาหรือสร้างวิหารใหม่ดี? นี่คือประชาธิปไตยแบบ "ทางตรง" รูปแบบแรกที่โลกเคยเห็น

    แต่มันไม่สมบูรณ์แบบ ประชาธิปไตยยุคเอเธนส์ครอบคลุมแค่คนกลุ่มเล็ก ๆ และหลังจากนั้น แนวคิดนี้ก็ค่อย ๆ จางหายไปในยุคมืดของยุโรป ที่อำนาจตกอยู่ในมือของกษัตริย์และขุนนาง จนกระทั่งถึงยุคเรเนสซองส์และการปฏิวัติครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 17-18 เช่น การปฏิวัติอเมริกา (1776) และการปฏิวัติฝรั่งเศส (1789) ที่ประชาชนตะโกนว่า "เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ" ประชาธิปไตยเริ่มฟื้นคืนชีพ

    การเติบโตในยุคสมัยใหม่

    ในศตวรรษที่ 19 และ 20 ประชาธิปไตยเริ่มมีหน้าตาคล้ายที่เราเห็นทุกวันนี้ การเลือกตั้งกลายเป็นเครื่องมือหลัก รัฐสภาถูกตั้งขึ้น และสิทธิของประชาชนถูกขยาย เช่น ผู้หญิงในสหรัฐฯ ได้สิทธิเลือกตั้งในปี 1920 หรือในไทยที่เริ่มมีรัฐธรรมนูญฉบับแรกในปี 2475 แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ประชาธิปไตยไม่เคยหยุดนิ่ง ในยุคดิจิทัลนี้ คุณเคยเห็นการเคลื่อนไหวผ่านแฮชแท็กอย่าง #BlackLivesMatter หรือ #เยาวชนปลดแอก ไหม? นั่นคือประชาธิปไตยรูปแบบใหม่ที่เกิดจากเทคโนโลยี

    คำถาม: ถ้าคุณอยู่ในเอเธนส์ยุคโบราณ คุณคิดว่าประชาธิปไตยแบบนั้นจะใช้ได้กับโลกสมัยใหม่ไหม? หรือมันล้าสมัยเกินไปแล้ว?


    02 ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย

    คุณคือ "พลเมือง" หรือแค่ "คนในประเทศ"?

    ในระบอบประชาธิปไตย ความเป็น "พลเมือง" ไม่ใช่แค่การมีบัตรประชาชน แต่มันคือสถานะที่มาพร้อมสิทธิและหน้าที่ เช่น สิทธิเลือกตั้ง สิทธิในการแสดงความเห็น และหน้าที่อย่างการเสียภาษีหรือเคารพกฎหมาย ลองนึกภาพ: ถ้าคุณไปลงคะแนนเลือกตั้งท้องถิ่น คุณกำลังใช้สิทธิของพลเมืองเพื่อกำหนดว่าเมืองของคุณจะมีถนนดี ๆ หรือโรงเรียนดี ๆ หรือไม่

    พลเมืองที่ดีต้องทำอะไร?

    นักวิชาการอย่าง Gabriel Almond และ Sidney Verba บอกว่า พลเมืองในประชาธิปไตยต้อง "ตื่นรู้" (politically aware) และ "มีส่วนร่วม" (engaged) ไม่ใช่แค่นั่งดูเฉย ๆ เช่น การอ่านข่าว ไปชุมนุม หรือโพสต์ความเห็นใน X เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ถ้าคุณนิ่งเฉย ประชาธิปไตยอาจอ่อนแอลงได้ เพราะมันต้องการพลังจากทุกคน

    ตัวอย่าง: ในสวีเดน ประชาชนมีส่วนร่วมสูงถึง 80-90% ในการเลือกตั้งทุกครั้ง เทียบกับบางประเทศที่คนไปโหวตแค่ 50% คุณคิดว่าอะไรทำให้คนอยากมีส่วนร่วมมากหรือน้อย? วัฒนธรรม? การศึกษา? หรือความเชื่อมั่นในระบบ?


    03 ตัวแบบประชาธิปไตย

    ประชาธิปไตยมีกี่แบบ?

    ประชาธิปไตยไม่ใช่สูตรสำเร็จเดียวที่ใช้ได้ทุกที่ มันมี "ตัวแบบ" ต่าง ๆ เช่น:

    • แบบตัวแทน: คุณเลือกคนมาเป็นตัวแทน เช่น ส.ส. ในรัฐสภาไทยหรือสหรัฐฯ
    • แบบทางตรง: ประชาชนโหวตเองทุกเรื่อง เหมือนที่สวิตเซอร์แลนด์ทำ เช่น โหวตว่าจะขึ้นภาษีหรือสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
    • แบบมีส่วนร่วม: เน้นให้ทุกคนมีส่วนร่วมมากขึ้น เช่น การทำประชาพิจารณ์ในชุมชน

    แล้วแบบไหนดีที่สุด?

    ไม่มีคำตอบตายตัว! บางคนบอกว่าแบบตัวแทนเหมาะกับประเทศใหญ่ ๆ ที่คนเยอะเกินกว่าจะโหวตทุกเรื่อง แต่บางคนเถียงว่า ถ้าประชาชนไม่ลงมือเอง ผู้นำอาจลืมฟังเสียงเรา ลองดูกรณีไทย: เราใช้แบบตัวแทน แต่บางครั้งคนก็ออกมาประท้วง เพราะรู้สึกว่ารัฐสภาไม่สะท้อนเจตจำนงของประชาชนจริง ๆ คุณคิดว่าแบบไหนเหมาะกับประเทศไทย?

    เกร็ดน่ารู้: สวิตเซอร์แลนด์มีการลงประชามติเกือบ 10 ครั้งต่อปี คุณลองนึกภาพถ้าไทยทำบ้าง จะวุ่นวายหรือดีขึ้นไหม?


    04 สาเหตุของการพัฒนาประชาธิปไตย

    อะไรทำให้ประชาธิปไตยเติบโต?

    ประชาธิปไตยไม่ได้เกิดขึ้นเอง มันมี "ปัจจัย" ผลักดันหลายอย่าง:

    ปัจจัยทางเศรษฐกิจ

    Michael Ross บอกว่า ประเทศที่มีทรัพยากรเยอะ เช่น น้ำมัน อาจเจอ "คำสาปทรัพยากร" (natural resource curse) รัฐบาลรวยจากทรัพยากร แต่ไม่ต้องฟังประชาชน เช่น ซาอุดีอาระเบีย ในทางกลับกัน ประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตและกระจายรายได้ดี เช่น เกาหลีใต้ มักมีประชาธิปไตยที่แข็งแรง

    ปัจจัยทางสังคม

    Barrington Moore Jr. มีคำพูดดังว่า "No bourgeoisie, no democracy" (ไม่มีชนชั้นกลาง ไม่มีประชาธิปไตย) เพราะชนชั้นกลางมักเรียกร้องสิทธิและเสรีภาพ ลองดูไทย: การเคลื่อนไหวของชนชั้นกลางในเมือง เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 มีส่วนสำคัญในการผลักดันประชาธิปไตย

    ปัจจัยทางวัฒนธรรม

    Gabriel Almond และ Sidney Verba บอกว่า วัฒนธรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมและไว้วางใจกัน (civic culture) ช่วยให้ประชาธิปไตยรุ่งเรือง แต่ถ้าวัฒนธรรมเน้นเชื่อฟังอำนาจ เช่น ในบางสังคมเอเชีย ประชาธิปไตยอาจโตยาก

    บทบาทของชนชั้นนำ

    Dankwart Rustow บอกว่า ถ้าชนชั้นนำตกลงกันได้ว่าจะแบ่งปันอำนาจ ประชาธิปไตยก็เกิดขึ้นได้ เช่น การเปลี่ยนผ่านในสเปนหลัง Franco ตายในปี 1975 คุณคิดว่าชนชั้นนำไทยมีบทบาทยังไงในประวัติศาสตร์เรา?

    การตกเป็นอาณานิคม

    Myron Weiner บอกว่า ประเทศที่เคยเป็นอาณานิคม เช่น อินเดีย มักรับประชาธิปไตยจากผู้ปกครอง (อังกฤษ) แต่บางที่ เช่น ตะวันออกกลาง กลับกลายเป็นเผด็จการหลังได้อิสรภาพ


    05 การเปลี่ยนสู่ประชาธิปไตยและการสร้างความเข้มแข็ง

    การเปลี่ยนผ่านคืออะไร?

    Samuel Huntington เรียกการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยว่า "คลื่นประชาธิปไตย" มี 3 คลื่นใหญ่:

    1. ศตวรรษที่ 19 (สหรัฐฯ ยุโรป)
    2. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ญี่ปุ่น เยอรมนี)
    3. 1970-80s (เกาหลีใต้ ไทย)

    แล้วจะทำให้มันมั่นคงได้ยังไง?

    Wolfgang Merkel บอกว่า ประชาธิปไตยต้อง "เข้มแข็ง" (consolidated) โดยมี:

    • สถาบันที่มั่นคง (เช่น ศาล รัฐสภา)
    • ประชาชนยอมรับ
    • ไม่มีใครอยากย้อนกลับไปเผด็จการ

    แต่บางครั้งมันก็ "ย้อนกลับ" ได้ เช่น รัฐประหารในไทยปี 2557 คุณคิดว่าไทยอยู่ในขั้น "เข้มแข็ง" หรือยัง?


    06 ประชาธิปไตยกับมิติระหว่างประเทศ

    โลกมีผลยังไง?

    Francesco Cavatorta บอกว่า "ตัวแสดงภายนอก" เช่น รัฐบาลสหรัฐฯ หรือ EU สามารถช่วยหรือขัดขวางได้ เช่น สหรัฐฯ สนับสนุนประชาธิปไตยในชิลี แต่ก็เคยหนุนเผด็จการในเวียดนามใต้เพื่อผลประโยชน์

    การส่งเสริมประชาธิปไตย

    Thomas Carothers แบ่งการส่งเสริมเป็น:

    • แบบนุ่ม: ช่วย NGO การศึกษา
    • แบบแข็ง: ใช้กำลังทหาร เช่น อิรัก 2003

    แต่บางครั้งมันล้มเหลว เพราะคนในประเทศไม่พร้อม คุณคิดว่าการส่งเสริมจากภายนอกช่วยไทยได้ไหม?


    07 มิติทางสังคมและวัฒนธรรมกับการท้าทายประชาธิปไตย

    ความหลากหลายท้าทายยังไง?

    Horowitz บอกว่า ในสังคมพหุวัฒนธรรมที่มีหลายชาติพันธุ์หรือศาสนา การเลือกตั้งอาจกลายเป็น "สงครามชาติพันธุ์" เช่น เมียนมาร์ที่มีความขัดแย้งระหว่างพุทธและมุสลิม

    โลกาภิวัตน์และอัตลักษณ์

    โลกที่เชื่อมต่อกันทำให้คนเรียกร้องสิทธิมากขึ้น เช่น สิทธิ LGBTQ+ แต่ก็มีคนกลัวว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมจะหายไป คุณคิดว่าประชาธิปไตยควรรับมือยังไง?


    08 มิติทางเศรษฐกิจกับการท้าทายประชาธิปไตย

    เศรษฐกิจดี ประชาธิปไตยดี จริงไหม?

    Seymour Martin Lipset บอกว่า ความเจริญทางเศรษฐกิจช่วยประชาธิปไตย แต่ถ้าวิกฤตมา เช่น สหรัฐฯ ปี 2008 ประชาชนอาจไม่เชื่อมั่นในระบบ

    ความเหลื่อมล้ำ

    การพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกันอาจจุดชนวนความขัดแย้ง เช่น ในลาตินอเมริกาที่คนจนรู้สึกว่าระบบเอื้อคนรวย


    09 การถดถอยของประชาธิปไตยและระบอบผสม

    ทำไมถดถอย?

    Jeffrey Haynes บอกว่า บางประเทศที่เคยเป็นประชาธิปไตยกลับไปเผด็จการ เช่น ตุรกีหรือรัสเซีย เพราะผู้นำรวมอำนาจ

    ระบอบผสมคืออะไร?

    Levitsky และ Way เรียกระบอบที่ไม่เต็มที่ว่า "hybrid regime" มีเลือกตั้ง แต่ไม่เสรีจริง เช่น ไทยในบางช่วง


    10 ประชาสังคมและขบวนการเคลื่อนไหว

    ประชาสังคมคืออะไร?

    Muthiah Alagappa บอกว่า ประชาสังคมคือกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง เช่น NGO หรือกลุ่มนักศึกษา

    ขบวนการเคลื่อนไหว

    Charles Tilly บอกว่า ขบวนการอย่างการประท้วงช่วยให้ประชาธิปไตยตั้งมั่น ลองนึกถึงม็อบเยาวชนในไทยปี 2563!


    11-15 ประชาธิปไตยในภูมิภาคต่าง ๆ

    เอเชียตะวันออก

    เกาหลีใต้เปลี่ยนจากเผด็จการเป็นประชาธิปไตย แต่จีนยังเผด็จการ

    เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    ไทยมีทั้งประชาธิปไตยและรัฐประหารสลับกัน

    ตะวันออกกลาง

    อาหรับสปริงล้มเหลวในหลายประเทศ

    ลาตินอเมริกา

    ชิลีสำเร็จ แต่เวเนซุเอลาล้มเหลว

    ยุโรป

    ยุโรปตะวันตกคือต้นแบบ แต่ตะวันออกยังมีปัญหา


    สรุป: ประชาธิปไตยในมือคุณ

    ประชาธิปไตยไม่ใช่แค่เรื่องของผู้นำ แต่เป็นเรื่องของเราทุกคน คุณในฐานะประชาชนคนหนึ่งคืออนาคตของมัน คุณจะช่วยให้มันเติบโตหรือปล่อยให้ถดถอย?

    Wednesday, April 2, 2025

    ประชาธิปไตยบนทางแพร่ง: 5 ประเทศ 5 ทางรอด

     ประชาธิปไตยบนทางแพร่ง:
    5 ประเทศ 5 ทางรอด

    กิจกรรมในชั้นเรียน : นักศึกษาจะถูกแบ่งเป็น 5 กลุ่ม แต่ละกลุ่มจะได้รับ "Case Study" ของประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะ ประชาธิปไตยถดถอย เช่น ฮังการี: ภาวะประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม บราซิล: ผลกระทบของผู้นำประชานิยม พม่า: การถดถอยสู่เผด็จการทหาร สหรัฐอเมริกา: วิกฤติความเชื่อมั่นในประชาธิปไตย รัสเซีย: การใช้ประชาธิปไตยเพื่อคงอำนาจของผู้นำ แต่ละกลุ่มทำการวิเคราะห์ว่าประเทศนั้น ๆ กำลังเผชิญกับปัญหาประชาธิปไตยถดถอยอย่างไร? ปัจจัยใดเป็นตัวเร่งให้เกิด ปัญหา (เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม)? มีการเคลื่อนไหวของประชาชนหรือประชาสังคมเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?

    กลุ่ม 1: ฮังการี - ภาวะประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม

    ฮังการีภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีวิกเตอร์ ออร์บาน (Viktor Orbán) กลายเป็นตัวอย่างของ "ประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม" (Illiberal Democracy) ที่มีการถดถอยจากหลักการประชาธิปไตยแบบเสรี หลังจากพรรค Fidesz ของออร์บานชนะการเลือกตั้งในปี 2010 รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายที่จำกัดเสรีภาพสื่อ การเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม และการควบคุมศาลยุติธรรม ออร์บานใช้กลไกประชาธิปไตย เช่น การเลือกตั้ง เพื่อรักษาอำนาจ แต่กลับบ่อนทำลายสถาบันที่คานอำนาจ เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้พรรคของตนได้เปรียบ และการออกกฎหมายควบคุมสื่ออิสระ สถานการณ์นี้ทำให้ฮังการีถูกวิจารณ์จากสหภาพยุโรป (EU) ว่ากำลังห่างไกลจากค่านิยมประชาธิปไตย

    ปัจจัยเร่งปัญหา: เศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ วิกฤติเศรษฐกิจโลกในช่วงปี 2008 ทำให้ประชาชนไม่พอใจพรรคฝ่ายซ้ายที่บริหารประเทศก่อนหน้า ออร์บานฉวยโอกาสนี้สร้างภาพลักษณ์ "ผู้นำเข้มแข็ง" ด้วยนโยบายชาตินิยม ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมก็มีส่วน ประชาชนบางกลุ่มกลัวการสูญเสียอัตลักษณ์จากผู้อพยพและโลกาภิวัตน์ ออร์บานจึงใช้แนวคิดต่อต้านผู้อพยพและยกย่องค่านิยมอนุรักษนิยมเพื่อดึงคะแนนเสียง

    การเคลื่อนไหวของประชาชนและประชาสังคม: ประชาสังคมในฮังการีพยายามต่อสู้กับภาวะนี้ เช่น การประท้วงใหญ่ในปี 2018 ต่อต้านกฎหมายแรงงานที่เอื้อนายจ้าง (เรียกว่า "Slave Law") และการก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหว เช่น Momentum Movement ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่พยายามท้าทาย Fidesz อย่างไรก็ตาม การปราบปรามจากรัฐบาล เช่น การตัดงบสนับสนุน NGO และการจำกัดเสรีภาพในการชุมนุม ทำให้การต่อต้านเผชิญอุปสรรค กลุ่มนักศึกษาและปัญญาชนยังคงพยายามสร้างความตระหนักผ่านสื่อออนไลน์และการรณรงค์ระหว่างประเทศ โดยหวังให้ EU กดดันรัฐบาลฮังการีให้กลับสู่แนวทางประชาธิปไตย


    กลุ่ม 2: บราซิล - ผลกระทบของผู้นำประชานิยม

    บราซิลเผชิญภาวะประชาธิปไตยถดถอยในช่วงที่นายฌาอีร์ โบลโซนาโร (Jair Bolsonaro) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี (2019-2022) โบลโซนาโรเป็นผู้นำประชานิยมฝ่ายขวา ใช้ถ้อยคำรุนแรงและนโยบายที่ท้าทายสถาบันประชาธิปไตย เช่น การยกย่องยุคเผด็จการทหาร (1964-1985) และการโจมตีสื่อ ศาล และฝ่ายค้าน เขายังตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของระบบเลือกตั้งเมื่อแพ้การเลือกตั้งในปี 2022 ซึ่งนำไปสู่เหตุการณ์จลาจลโดยผู้สนับสนุนที่บุกอาคารรัฐสภาในปี 2023

    ปัจจัยเร่งปัญหา: เศรษฐกิจที่ซบเซาและความเหลื่อมล้ำสูงในบราซิลเป็นเชื้อเพลิงให้โบลโซนาโร ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลฝ่ายซ้ายก่อนหน้า (พรรคแรงงาน) ล้มเหลวในการแก้ปัญหาคอร์รัปชันและความยากจน ปัจจัยสังคม เช่น ความไม่พอใจต่ออาชญากรรมและความรุนแรง ทำให้โบลโซนาโรได้รับการสนับสนุนจากนโยบาย "ปราบปรามอาชญากร" วัฒนธรรมการเมืองแบบ "ผู้นำเข้มแข็ง" ก็ฝังรากลึกในสังคมบราซิล

    การเคลื่อนไหวของประชาชนและประชาสังคม: ประชาสังคมในบราซิลตอบโต้อย่างแข็งขัน กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและชนพื้นเมืองต่อต้านนโยบายทำลายป่าแอมะซอนของโบลโซนาโร การประท้วงใหญ่เกิดขึ้นในปี 2019-2020 เพื่อปกป้องสิทธิประชาธิปไตย นักวิชาการและสื่ออิสระพยายามเปิดโปงการละเมิดอำนาจ หลังโบลโซนาโรพ่ายแพ้ รัฐบาลใหม่ของลูลา ดา ซิลวา (Lula da Silva) ได้รับการสนับสนุนจากประชาสังคมเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย


    กลุ่ม 3: พม่า - การถดถอยสู่เผด็จการทหาร

    พม่ากลับสู่เผด็จการทหารหลังการรัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2021 โดยกองทัพ (Tatmadaw) ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซู จี ซึ่งชนะการเลือกตั้งในปี 2020 อย่างถล่มทลาย กองทัพอ้างว่ามีการโกงเลือกตั้ง แต่ประชาคมโลกมองว่านี่คือการทำลายความก้าวหน้าประชาธิปไตยที่เริ่มตั้งแต่ปี 2011 การปราบปรามผู้ประท้วงและการจำคุกผู้นำฝ่ายประชาธิปไตยทำให้พม่าถดถอยสู่ระบอบเผด็จการเต็มรูปแบบ

    ปัจจัยเร่งปัญหา: เศรษฐกิจที่เปราะบางจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนไม่พอใจรัฐบาลพลเรือน ปัจจัยสังคม เช่น ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และกองทัพ ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจ วัฒนธรรมการเมืองที่กองทัพครองอำนาจมานานกว่า 50 ปี (ตั้งแต่ 1962) ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยไม่มั่นคง

    การเคลื่อนไหวของประชาชนและประชาสังคม: การต่อต้านรัฐประหารเกิดขึ้นทันทีผ่านขบวนการอารยะขัดขืน (CDM) นักศึกษา ข้าราชการ และประชาชนทั่วไปหยุดงานประท้วง กลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์และกองกำลังป้องกันประชาชน (PDF) ต่อสู้กับกองทัพในหลายพื้นที่ การประท้วงถูกปราบปรามอย่างโหดร้าย แต่ประชาสังคมยังคงเรียกร้องการสนับสนุนจากนานาชาติ เช่น UN และ ASEAN เพื่อกดดันให้กองทัพคืนอำนาจ


    กลุ่ม 4: สหรัฐอเมริกา - วิกฤติความเชื่อมั่นในประชาธิปไตย

    สหรัฐอเมริกาเผชิญวิกฤติความเชื่อมั่นในประชาธิปไตย โดยเฉพาะหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ อ้างว่ามีการโกงเลือกตั้ง ส่งผลให้เกิดเหตุบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ความแตกแยกทางการเมืองระหว่างพรรครีพับลิกันและเดโมแครตทวีความรุนแรง ขณะที่กฎหมายจำกัดสิทธิเลือกตั้งในบางรัฐถูกมองว่าบ่อนทำลายหลักการประชาธิปไตย

    ปัจจัยเร่งปัญหา: เศรษฐกิจที่เหลื่อมล้ำและการว่างงานในยุคโควิด-19 ทำให้ประชาชนสูญเสียศรัทธาในระบบ ปัจจัยสังคม เช่น การเหยียดเชื้อชาติและความแตกต่างทางอุดมการณ์ ถูกปลุกปั่นผ่านโซเชียลมีเดีย วัฒนธรรม "ข่าวปลอม" และทฤษฎีสมคบคิดยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นลดลง

    การเคลื่อนไหวของประชาชนและประชาสังคม: กลุ่มเคลื่อนไหว เช่น Black Lives Matter และองค์กรด้านสิทธิเลือกตั้ง (เช่น ACLU) ผลักดันให้มีการปฏิรูปกฎหมายเลือกตั้งและต่อสู้กับการกีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้ง นักวิชาการและสื่อพยายามสร้างความตระหนักถึงภัยคุกคามต่อประชาธิปไตย การเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 แสดงให้เห็นว่าประชาชนยังคงมีส่วนร่วมเพื่อปกป้องระบบ


    กลุ่ม 5: รัสเซีย - การใช้ประชาธิปไตยเพื่อคงอำนาจของผู้นำ

    รัสเซียภายใต้การนำของวลาดิเมียร์ ปูติน ใช้กลไกประชาธิปไตย เช่น การเลือกตั้ง เพื่อคงอำนาจ แต่กลับจำกัดเสรีภาพและปราบปรามฝ่ายค้าน การเลือกตั้งถูกควบคุม ฝ่ายค้านอย่างอเล็กเซย์ นาวัลนีถูกจำคุก และสื่ออิสระถูกปิดกั้น รัฐธรรมนูญถูกแก้ไขในปี 2020 เพื่อให้ปูตินอยู่ในอำนาจได้ถึงปี 2036

    ปัจจัยเร่งปัญหา: เศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันและการคว่ำบาตรจากตะวันตกทำให้รัฐบาลต้องพึ่งชาตินิยมเพื่อรักษาความนิยม ปัจจัยสังคม เช่น ความกลัวการแทรกแซงจากตะวันตก ถูกใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ วัฒนธรรมการเมืองแบบรวมศูนย์อำนาจมีรากเหง้าจากยุคสหภาพโซเวียต

    การเคลื่อนไหวของประชาชนและประชาสังคม: การประท้วงเกิดขึ้น เช่น กรณีการจับกุมนาวัลนีในปี 2021 แต่ถูกปราบปรามอย่างหนัก กลุ่มประชาสังคม เช่น Memorial ถูกสั่งปิด อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ใช้สื่อออนไลน์เผยแพร่ข้อมูลและเรียกร้องการเปลี่ยนแปลง แม้เผชิญความเสี่ยงสูง

    ****************************

    งานชิ้นต่อไป
    Debate: ประชาธิปไตยถดถอย vs ประชาธิปไตยที่ยั่งยืน แต่ละกลุ่มถกเถียงกันในหัวข้อ: “ประชาธิปไตยสามารถ ฟื้นตัวได้หรือไม่?” “ประชาธิปไตยแบบไหนที่สามารถอยู่รอดได้ในโลกปัจจุบัน?” นักศึกษาต้องเสนอแนวทางของประเทศตนเอง พร้อมตอบโต้แนวทางของประเทศอื่น
    ***************************

    กลุ่ม 1: ฮังการี - ประชาธิปไตยสามารถฟื้นตัวได้หรือไม่?

    แนวทางของฮังการี: เราเชื่อว่าประชาธิปไตยในฮังการีสามารถฟื้นตัวได้ หากมีการกดดันจากภายนอก เช่น สหภาพยุโรป (EU) ที่สามารถระงับเงินทุนหรือลงโทษรัฐบาลออร์บานที่ละเมิดหลักประชาธิปไตย ภายในประเทศ ประชาสังคมต้องสร้างพลังผ่านการรวมตัวของพรรคฝ่ายค้าน เช่น Momentum Movement และการรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัว ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในโลกปัจจุบันต้องเป็น "ประชาธิปไตยที่มีการคานอำนาจ" โดยมีสถาบันที่เข้มแข็ง เช่น ศาลและสื่ออิสระ เพื่อป้องกันการผูกขาดอำนาจ

    ตอบโต้กลุ่มอื่น: เราเห็นด้วยกับสหรัฐฯ ว่าความเชื่อมั่นในระบบเป็นสิ่งสำคัญ แต่ฮังการีพิสูจน์ว่าการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวไม่พอหากผู้นำใช้อำนาจนิยม ส่วนพม่าที่เสนอการต่อสู้ด้วยอาวุธนั้นไม่เหมาะกับฮังการี เพราะความขัดแย้งรุนแรงจะยิ่งทำลายความหวังในการฟื้นฟู รัสเซียที่เน้นผู้นำเข้มแข็งนั้นล้มเหลว เพราะปูตินสร้างระบอบที่ประชาชนไม่มีสิทธิ์แท้จริง บราซิลอาจมีโอกาสฟื้นตัวจากประชานิยม แต่ต้องระวังไม่ให้ผู้นำแบบโบลโซนาโรกลับมาอีก


    กลุ่ม 2: บราซิล - ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนคืออะไร?

    แนวทางของบราซิล: ประชาธิปไตยในบราซิลฟื้นตัวได้ หลักฐานคือการเลือกตั้งปี 2022 ที่โบลโซนาโรพ่ายแพ้ และประชาชนปกป้องระบบด้วยการต่อต้านการจลาจลในปี 2023 แนวทางของเราคือการเสริมสร้างการศึกษาและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เพื่อป้องกันผู้นำประชานิยม ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนต้องเป็น "ประชาธิปไตยที่ครอบคลุม" ที่ทุกกลุ่มในสังคมมีส่วนร่วม ไม่ใช่แค่ชนชั้นนำหรือกลุ่ม โลกปัจจุบันต้องการประชาธิปไตยที่ปรับตัวได้ต่อความท้าทาย เช่น โซเชียลมีเดียและความแตกแยก

    ตอบโต้กลุ่มอื่น: ฮังการีพูดถึงการคานอำนาจ แต่บราซิลแสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องเป็นพลังหลัก ไม่ใช่แค่สถาบัน พม่าที่หวังพึ่งนานาชาตินั้นไม่ยั่งยืน เพราะสุดท้ายประชาชนต้องลุกขึ้นเอง สหรัฐฯ เน้นความเชื่อมั่น แต่ลืมว่าความเหลื่อมล้ำเป็นรากปัญหาเหมือนบราซิล รัสเซียพิสูจน์ว่าประชาธิปไตยแบบปูตินไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง


    กลุ่ม 3: พม่า - ประชาธิปไตยฟื้นตัวได้หรือไม่?

    แนวทางของพม่า: ประชาธิปไตยในพม่าสามารถฟื้นตัวได้ แต่ต้องใช้การต่อสู้ทั้งในและนอกประเทศ การต่อต้านกองทัพด้วยขบวนการอารยะขัดขืนและกองกำลังป้องกันประชาชน (PDF) เป็นจุดเริ่มต้น ร่วมกับแรงกดดันจากนานาชาติ เช่น การคว่ำบาตรกองทัพ ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนต้องเป็น "ประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ" ที่ให้อำนาจกลุ่มชาติพันธุ์และลดการครอบงำของกองทัพ โลกปัจจุบันต้องการประชาธิปไตยที่ยืดหยุ่นต่อความขัดแย้งภายใน

    ตอบโต้กลุ่มอื่น: ฮังการีและสหรัฐฯ หวังพึ่งสถาบัน แต่พม่าพิสูจน์ว่าถ้ากองทัพครองอำนาจ สถาบันก็ไร้ค่า บราซิลพูดถึงการศึกษา แต่ในพม่าประชาชนต้องมีอาวุธด้วยถึงจะสู้เผด็จการได้ รัสเซียที่ยกย่องผู้นำเข้มแข็งนั้นคือสิ่งที่พม่าต้องกำจัด


    กลุ่ม 4: สหรัฐอเมริกา - ประชาธิปไตยแบบไหนอยู่รอด?

    แนวทางของสหรัฐฯ: ประชาธิปไตยในสหรัฐฯ ฟื้นตัวได้ หากแก้ปัญหาความแตกแยกและฟื้นความเชื่อมั่นในระบบเลือกตั้ง แนวทางคือการปฏิรูปกฎหมายเลือกตั้งให้ทุกคนเข้าถึงได้ และควบคุมข่าวปลอมในโซเชียลมีเดีย ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนคือ "ประชาธิปไตยที่โปร่งใส" ที่ประชาชนไว้วางใจในกระบวนการ โลกปัจจุบันต้องการประชาธิปไตยที่ทนทานต่อการโจมตีจากภายใน เช่น ทฤษฎีสมคบคิด

    ตอบโต้กลุ่มอื่น: ฮังการีเน้นสถาบัน แต่สหรัฐฯ แสดงว่าประชาชนต้องเชื่อมั่นในระบบก่อน บราซิลพูดถึงความครอบคลุม แต่ลืมว่าความแตกแยกทำลายทุกอย่าง พม่าที่ใช้กำลังนั้นเสี่ยงกลายเป็นวงจรความรุนแรง รัสเซียไม่ใช่ตัวอย่างประชาธิปไตย แต่เป็นคำเตือน


    กลุ่ม 5: รัสเซีย - ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในโลกปัจจุบัน

    แนวทางของรัสเซีย: ประชาธิปไตยในรัสเซียไม่จำเป็นต้องฟื้นตัว เพราะระบบปัจจุบันเหมาะกับบริบทของเรา การมีผู้นำเข้มแข็งอย่างปูตินทำให้ประเทศมั่นคงท่ามกลางภัยคุกคามจากตะวันตก ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนคือ "ประชาธิปไตยแบบควบคุม" ที่ผู้นำตัดสินใจแทนประชาชนในภาวะวิกฤติ โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความโกลาหล ประชาธิปไตยแบบเสรีเกินไปจึงล้มเหลว

    ตอบโต้กลุ่มอื่น: ฮังการีเข้าใจว่าชาตินิยมช่วยรักษาอำนาจ แต่ยังยอมจำนนต่อ EU บราซิลและสหรัฐฯ ฝันถึงประชาธิปไตยครอบคลุม แต่ความแตกแยกทำให้อ่อนแอ พม่าพิสูจน์ว่าการต่อสู้แบบไร้ผู้นำนำไปสู่ความวุ่นวาย รัสเซียแสดงให้เห็นว่าความมั่นคงสำคัญกว่าสิทธิเสรีภาพ


    สรุปการถกเถียง

    ทั้ง 5 กลุ่มเสนอแนวทางที่สะท้อนบริบทของตน: ฮังการีเน้นการคานอำนาจ, บราซิลเน้นความครอบคลุม, พม่าเน้นการต่อสู้, สหรัฐฯ เน้นความโปร่งใส, และรัสเซียเน้นผู้นำเข้มแข็ง การตอบโต้แสดงให้เห็นว่าประชาธิปไตยที่ยั่งยืนต้องปรับให้เข้ากับความท้าทายของแต่ละสังคม ไม่มีสูตรสำเร็จเดียวที่ใช้ได้กับทุกประเทศ