Friday, April 11, 2025

การวิเคราะห์การเดินหมากของจีนในสงครามการค้า

การวิเคราะห์การเดินหมากของจีน ในสงครามการค้า

การวิเคราะห์การเดินหมากของจีนในสงครามการค้าด้านภาษีกับสหรัฐฯ จากมุมมองของนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์สงครามทางเศรษฐกิจ สามารถเปรียบได้กับการเล่นหมากล้อม (Go) ที่เน้นการวางหมากอย่างรอบคอบเพื่อครอบครองพื้นที่และสร้างความได้เปรียบในระยะยาว จีนภายใต้การนำของสีจินผิงแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารจัดการความขัดแย้งนี้ด้วยกลยุทธ์ที่ซับซ้อนและมองการณ์ไกล โดยผสมผสานความยืดหยุ่นทางยุทธวิธีเข้ากับเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งรักษาอำนาจและอิทธิพลในระบบเศรษฐกิจโลก การวิเคราะห์ต่อไปนี้จะแยกประเด็นสำคัญเพื่อชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของจีนในมิติต่างๆ พร้อมทั้งประเมินว่าทำไมสีจินผิงอาจดูเหมือนได้เปรียบในบริบทนี้


ประเด็นการวิเคราะห์การเดินหมากของจีน

1. การเพิ่มภาษีอย่างเด็ดขาด: การส่งสัญญาณความแข็งแกร่ง

จีนตัดสินใจเพิ่มภาษีจาก 84% เป็น 125% ซึ่งมีผลทันทีตั้งแต่วันเสาร์ (ตามข้อมูลจาก DW News) การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงเป็นการตอบโต้ภาษีของสหรัฐฯ แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพร้อมที่จะยกระดับความขัดแย้ง ในแง่ยุทธศาสตร์สงครามทางเศรษฐกิจ การเพิ่มภาษีครั้งนี้เปรียบเสมือนการวางหมากในจุดยุทธศาสตร์บนกระดานหมากล้อม เพื่อยึดพื้นที่และบีบให้คู่ต่อสู้ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางจิตวิทยาและเศรษฐกิจ การที่จีนเลือกอัตราภาษีที่สูงและชัดเจน แสดงถึงความตั้งใจที่จะกำหนดเงื่อนไขของการเจรจาและเปลี่ยนการรับรู้ของนานาชาติเกี่ยวกับบทบาทของจีนในฐานะมหาอำนาจที่ไม่ยอมจำนน

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การเคลื่อนไหวนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Thomas Schelling (1960) ใน The Strategy of Conflict ซึ่งเน้นว่าการส่งสัญญาณที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือในสถานการณ์ความขัดแย้งสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคู่ต่อสู้ได้ จีนใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในการสื่อสารว่า สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นหากยังคงยกระดับความขัดแย้ง ซึ่งอาจบังคับให้สหรัฐฯ ทบทวนกลยุทธ์ของตน

2. การปฏิเสธการตอบโต้แบบค่อยเป็นค่อยไป: การเปลี่ยนกฎของเกม

จีนประกาศว่าจะไม่ตอบโต้การเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ ในอนาคตแบบ “ทีละขั้น” โดยโฆษกของจีนถึงกับเรียกกระบวนการนี้ว่า “เรื่องตลก” การตัดสินใจนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนจากยุทธวิธีตอบโต้แบบสมมาตรไปสู่การกำหนดจุดยืนที่เป็นอิสระมากขึ้น ในมุมมองของหมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการเลือกที่จะไม่ตามน้ำคู่ต่อสู้ในทุกกระดานย่อย แต่หันไปวางหมากในจุดที่สร้างความได้เปรียบในภาพรวม เช่น การรักษาเสถียรภาพภายในและการขยายอิทธิพลในภูมิภาคอื่น

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การปฏิเสธการตอบโต้แบบค่อยเป็นค่อยไปแสดงถึงความเข้าใจในทฤษฎีเกม (Game Theory) โดยเฉพาะแนวคิดของ “การเปลี่ยนกรอบ” (reframing) ซึ่งจีนพยายามกำหนดกฎใหม่ของการต่อสู้ แทนที่จะติดอยู่ในวงจรของการตอบโต้ไม่รู้จบ ซึ่งอาจทำให้ทั้งสองฝ่ายเสียหาย จีนเลือกที่จะถอนตัวจากเกมย่อยนี้เพื่อมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายระยะยาว เช่น การรักษาความเป็นผู้นำในห่วงโซ่อุปทานโลกและการสร้างพันธมิตรทางการค้าทางเลือก (Kaplan, 2019)

3. การอ้างเครดิตจากความสำเร็จ: การควบคุมการเล่าเรื่อง

จีนระบุว่าการตัดสินใจของทรัมป์ในการ “หยุดชั่วคราว” การเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ เป็นผลมาจากแรงกดดันจากจีน การเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ภายในประเทศ แต่ยังเป็นการกำหนดการเล่าเรื่อง (narrative) ในระดับนานาชาติว่า จีนมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของสหรัฐฯ ในเกมหมากล้อม การอ้างเครดิตนี้เปรียบเสมือนการวางหมากเพื่อ “ล้อม” ความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้ โดยทำให้สหรัฐฯ ดูเหมือนเป็นฝ่ายที่ยอมถอย

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การควบคุมการเล่าเรื่องนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Joseph Nye (2004) เกี่ยวกับ soft power ซึ่งเน้นการใช้การสื่อสารและภาพลักษณ์เพื่อสร้างอิทธิพล จีนใช้โอกาสนี้เพื่อเสริมสร้างความชอบธรรมของตนในฐานะผู้เล่นที่สามารถกำหนดทิศทางของความขัดแย้งได้ โดยเฉพาะในสายตาของประเทศกำลังพัฒนาและพันธมิตรที่อาจลังเลระหว่างการเลือกข้างสหรัฐฯ หรือจีน

4. การใช้ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ: การรับแรงกระแทก

จีนแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการ “รับแรงกระแทก” (take it on the chin) จากผลกระทบของสงครามการค้า ด้วยบทบาทในฐานะผู้ผลิตชั้นนำของโลกและเศรษฐกิจที่มีการควบคุมโดยรัฐ จีนสามารถเปลี่ยนทิศทางการส่งออกไปยังตลาดอื่น เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือยุโรป และบริหารจัดการผลกระทบภายในผ่านนโยบายการเงินและการคลัง ในแง่หมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการเสียหมากบางตัวในพื้นที่ย่อยเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของโครงสร้างโดยรวม

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: ความยืดหยุ่นนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Barry Naughton (2021) ซึ่งชี้ว่าจีนมี “ความลึกเชิงยุทธศาสตร์” (strategic depth) จากโครงสร้างเศรษฐกิจที่หลากหลายและการควบคุมโดยรัฐ ความสามารถในการดูดซับความสูญเสียในระยะสั้นช่วยให้จีนสามารถรักษาการโจมตีในระยะยาวได้ ซึ่งต่างจากสหรัฐฯ ที่เผชิญกับแรงกดดันจากความผันผวนของตลาดและความอ่อนไหวของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

5. การกำหนดเป้าหมายระยะยาว: การครองความเป็นผู้นำในระบบโลก

การตัดสินใจของจีนในการยกระดับภาษีและปฏิเสธการตอบโต้แบบสมมาตรสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ระยะยาวในการรักษาความเป็นผู้นำในระบบเศรษฐกิจโลก จีนมุ่งเน้นไปที่การปกป้องห่วงโซ่อุปทาน การลงทุนในเทคโนโลยี และการสร้างเครือข่ายการค้าทางเลือก เช่น ผ่านข้อตกลง RCEP หรือ Belt and Road Initiative ในบริบทของหมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการวางหมากเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ต่างๆ บนกระดาน สร้างโครงสร้างที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นในระยะยาว

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การมุ่งเน้นระยะยาวนี้สอดคล้องกับทฤษฎีของ Robert Gilpin (1987) ใน The Political Economy of International Relations ซึ่งระบุว่ามหาอำนาจที่กำลังเติบโตจะพยายามปรับโครงสร้างระบบโลกให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตน จีนใช้สงครามการค้าเป็นโอกาสในการเร่งกระบวนการนี้ โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ และเสริมสร้างความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจ

6. การใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของสหรัฐฯ: การโจมตีจุดอ่อน

จีนตระหนักดีถึงความเปราะบางของสหรัฐฯ โดยเฉพาะความอ่อนไหวของตลาดหุ้นและความกดดันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย การเพิ่มภาษีของจีนส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดโลก รวมถึงการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ในบริบทหมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เปรียบเสมือนการวางหมากเพื่อตัดเส้นทางของคู่ต่อสู้ ทำให้สหรัฐฯ ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาแนวรบทั้งในและนอกประเทศ

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การโจมตีจุดอ่อนนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Sun Tzu ใน The Art of War ซึ่งเน้นการใช้ประโยชน์จากความอ่อนแอของศัตรู จีนใช้ภาษีเป็นอาวุธเพื่อเพิ่มต้นทุนทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในช่วงที่สหรัฐฯ เผชิญกับความท้าทายภายใน เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอย (Eichengreen, 2008)

7. การสร้างพันธมิตรทางเลือก: การขยายอิทธิพล

จีนใช้สงครามการค้าเป็นโอกาสในการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชีย แอฟริกา และยุโรป การเยือนของผู้นำสเปน เปโดร ซานเชซ ต่อประธานาธิบดีสีจินผิงในกรุงปักกิ่ง (ตามที่ระบุใน DW News) แสดงให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการสร้างเครือข่ายการค้าทางเลือกที่ไม่ขึ้นกับสหรัฐฯ ในแง่หมากล้อม การเคลื่อนไหวนี้เหมือนกับการวางหมากเพื่อสร้าง “ดวงตา” (eyes) หรือพื้นที่ปลอดภัยที่คู่ต่อสู้ไม่สามารถรุกล้ำได้

การวิเคราะห์เชิงวิชาการ: การขยายอิทธิพลนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ Dependency Theory (Wallerstein, 2004) ซึ่งจีนพยายามลดการพึ่งพาเศรษฐกิจตะวันตกโดยการสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับประเทศกำลังพัฒนา การกระทำนี้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ แต่ยังเพิ่มอำนาจต่อรองของจีนในเวทีโลก


เหตุใดสีจินผิงอาจได้เปรียบ: มุมมองเปรียบเทียบในบริบทหมากล้อม

ความคิดของคุณที่ว่าสีจินผิงได้เปรียบและการเปรียบเทียบกับหมากล้อมนั้นมีความสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง หมากล้อมเป็นเกมที่เน้นการควบคุมพื้นที่มากกว่าการทำลายคู่ต่อสู้โดยตรง ซึ่งตรงกับแนวทางของจีนในสงครามการค้านี้ เหตุผลที่สีจินผิงอาจดูเหมือนได้เปรียบมีดังนี้:

  1. ความอดทนและการมองการณ์ไกล: จีนเล่นเกมระยะยาวโดยเน้นการรักษาเสถียรภาพภายในและการขยายอิทธิพลในระดับโลก ขณะที่สหรัฐฯ เผชิญกับแรงกดดันระยะสั้นจากความผันผวนของตลาดและการเมืองภายใน ความอดทนนี้เปรียบเสมือนการวางหมากอย่างใจเย็นเพื่อรอโอกาสที่เหมาะสมในหมากล้อม
  2. โครงสร้างการตัดสินใจที่รวมศูนย์: ระบบการปกครองของจีนช่วยให้สีจินผิงสามารถกำหนดนโยบายได้อย่างรวดเร็วและสอดประสานกัน ต่างจากสหรัฐฯ ที่ต้องเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและสภาคองเกรส รวมถึงความกดดันจากสาธารณะ ในหมากล้อม การมี “ผู้เล่น” ที่ตัดสินใจได้อย่างเป็นเอกภาพช่วยให้สามารถควบคุมทิศทางของเกมได้ดีกว่า
  3. ความหลากหลายของแนวรบ: จีนไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่การค้าทวิภาคีกับสหรัฐฯ แต่ขยายแนวรบไปยังการลงทุนในเทคโนโลยี (เช่น 5G และ AI) และการสร้างพันธมิตรผ่านข้อตกลงระหว่างประเทศ ในหมากล้อม การกระจายหมากไปในหลายพื้นที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีในจุดเดียว
  4. การใช้ประโยชน์จากความเปราะบางของคู่ต่อสู้: จีนตระหนักดีว่าสหรัฐฯ มีจุดอ่อนในด้านความไวต่อความผันผวนของตลาดและความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ การเพิ่มภาษีและการกำหนดการเล่าเรื่องช่วยให้จีนสามารถกดดันสหรัฐฯ ในจุดที่เปราะบางที่สุด ซึ่งเหมือนกับการวางหมากเพื่อตัดเส้นทางการเชื่อมต่อของคู่ต่อสู้ในหมากล้อม

อย่างไรก็ตาม ความได้เปรียบของสีจินผิงไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง จีนยังเผชิญกับความท้าทาย เช่น การพึ่งพารายได้จากต่างประเทศ ความเปราะบางของหนี้ภายใน และความจำเป็นในการรักษาความเชื่อมั่นจากพันธมิตรระหว่างประเทศ หากสหรัฐฯ สามารถปรับกลยุทธ์ให้เน้นการรวมกลุ่มกับพันธมิตร (เช่น EU หรือญี่ปุ่น) หรือลดการพึ่งพาการนำเข้าจากจีน ความได้เปรียบของจีนอาจถูกท้าทายได้


สรุป

การเดินหมากของจีนในสงครามการค้าด้านภาษีกับสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนและการวางแผนที่รอบคอบ เปรียบได้กับการเล่นหมากล้อมที่เน้นการครอบครองพื้นที่และการบริหารจัดการความสูญเสียในระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว การเพิ่มภาษีอย่างเด็ดขาด การปฏิเสธการตอบโต้แบบสมมาตร การควบคุมการเล่าเรื่อง และการใช้ประโยชน์จากความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ที่ทำให้สีจินผิงดูเหมือนได้เปรียบในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของกลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของจีนในการรักษาเสถียรภาพภายในและขยายอิทธิพลในระดับโลก ท่ามกลางความไม่แน่นอนของระบบเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน

เอกสารอ้างอิง

  • Eichengreen, B. (2008). Globalizing Capital: A History of the International Monetary System. Princeton University Press.
  • Gilpin, R. (1987). The Political Economy of International Relations. Princeton University Press.
  • Kaplan, R. D. (2019). The Return of Marco Polo’s World: War, Strategy, and American Interests in the Twenty-first Century. Random House.
  • Naughton, B. (2021). The Chinese Economy: Adaptation and Growth. MIT Press.
  • Nye, J. S. (2004). Soft Power: The Means to Success in World Politics. PublicAffairs.
  • Schelling, T. C. (1960). The Strategy of Conflict. Harvard University Press.
  • Wallerstein, I. (2004). World-Systems Analysis: An Introduction. Duke University Press.

Thursday, April 10, 2025

ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย

 

  1. พลวัตของสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน
  2. ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  3. การพุ่งสูงขึ้นของการส่งออกของจีนและการเปลี่ยนทิศทางของตลาด
  4. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมจีน
  5. วิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งทอในอินโดนีเซีย
  6. การลดลงของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซีย
  7. ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย
  8. การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนิกเกิลในอินโดนีเซีย
  9. ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์ของอาเซียน
  10. ผลกระทบและการตอบสนองต่อการค้าโลก

7) ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย

ภาคยานยนต์ของประเทศไทย ซึ่งได้รับการขนานนามว่า "ดีทรอยต์แห่งเอเชีย" เผชิญกับความท้าทายที่รุนแรงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2024 อันเป็นผลจากสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการแข่งขันจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของจีน เช่น BYD อุตสาหกรรมนี้ ซึ่งเคยเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ หดตัวลงเกือบ 30% จากกำลังการผลิตสูงสุดที่ 2.4 ล้านคันในปี 2012 เหลือเพียง 1.4 ล้านคันในปี 2024 (Kriangkrai, 2025) การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังเผยให้เห็นความเปราะบางของโครงสร้างอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการลงทุนจากญี่ปุ่นและการส่งออกไปยังตลาดโลก การวิเคราะห์นี้จะแบ่งเป็นหัวข้อย่อยเพื่อสำรวจมิติต่างๆ ของความท้าทายนี้อย่างเป็นระบบ

7.1) การหดตัวของกำลังการผลิตและการปิดโรงงาน

การลดลงของการผลิตรถยนต์ในประเทศไทยจาก 2.4 ล้านคันในปี 2012 สู่ 1.4 ล้านคันในปี 2024 เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนถึงวิกฤตในภาคยานยนต์ การหดตัวนี้สัมพันธ์กับการถอนตัวของผู้ผลิตรายใหญ่จากญี่ปุ่น เช่น Subaru และ Suzuki ในปี 2023 และการปิดโรงงานหนึ่งแห่งของ Nissan ในปี 2024 (CNA Insider, 2025) สาเหตุหลักมาจากการที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น ซึ่งครองตลาดไทยมานานกว่า 40 ปี ผ่านการลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในจังหวัดระยอง ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับความต้องการที่เปลี่ยนไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ไทยสูญเสียตำแหน่งผู้นำด้านการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

7.2) การแข่งขันจากรถยนต์ไฟฟ้าของจีน

การเข้ามาของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน โดยเฉพาะ BYD ซึ่งเปิดโรงงานมูลค่า 490 ล้านดอลลาร์สหรัฐในระยองเมื่อปี 2024 ได้เปลี่ยนโฉมภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โรงงานนี้มีกำลังการผลิต 150,000 คันต่อปี และเน้นการประกอบชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ในท้องถิ่น (CNA Insider, 2025) รถยนต์ไฟฟ้าจีนที่มีราคาถูกและเทคโนโลยีล้ำหน้า เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติและส่วนประกอบที่น้อยลง ได้ลดความต้องการรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ซึ่งเป็นจุดแข็งของผู้ผลิตญี่ปุ่นในไทย ตัวอย่างเช่น ตลาดส่งออกสำคัญของไทย เช่น ออสเตรเลีย ซึ่งเคยพึ่งพารถกระบะจากไทย หันไปใช้ EV จากจีนแทน ส่งผลให้การส่งออกของไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

7.3) ผลกระทบต่อการจ้างงานและห่วงโซ่อุปทาน

ภาคยานยนต์ไทยจ้างงานทั้งทางตรงและทางอ้อมประมาณ 1 ล้านคน (Kriangkrai, 2025) การเปลี่ยนผ่านสู่ EV ซึ่งใช้ระบบอัตโนมัติมากขึ้นและต้องการชิ้นส่วนน้อยลง ทำให้การจ้างงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด โรงงานของ BYD ถึงแม้จะสร้างงาน 10,000 ตำแหน่ง แต่ไม่สามารถทดแทนการสูญเสียงานจากโรงงานญี่ปุ่นที่ปิดตัวได้ ตามที่ศาสตราจารย์เกรียงไกร (2025) ระบุว่า การผลิต EV ใช้ "หุ่นยนต์มากขึ้น คนน้อยลง" ซึ่งขัดแย้งกับโครงสร้างการจ้างงานแบบดั้งเดิมของไทย นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) กว่า 1,700 รายที่เป็นซัพพลายเออร์ให้ญี่ปุ่นเผชิญความเสี่ยงจากการที่ห่วงโซ่อุปทานของ ICE ค่อยๆ ล้าสมัย การเปลี่ยนไปสู่ EV ต้องใช้เวลาและการลงทุนมหาศาล ซึ่ง SMEs เหล่านี้มักขาดแคลนทรัพยากรในการปรับตัว

7.4) การเปลี่ยนผ่านสู่ศูนย์กลางการผลิต EV

ประเทศไทยพยายามปรับตัวโดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาค การลงทุนของ BYD และนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียวสะท้อนถึงความพยายามนี้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านนี้เผชิญอุปสรรคทั้งด้านเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน การผลิต EV ต้องการความรู้เฉพาะทางและระบบนิเวศอุตสาหกรรมที่แตกต่างจาก ICE เช่น การพัฒนาโรงงานแบตเตอรี่และสถานีชาร์จไฟฟ้า ซึ่งไทยยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น (CNA Insider, 2025) การเปลี่ยนแปลงนี้ยังต้องเผชิญกับ "ความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนผ่าน" ตามที่ระบุในสารคดีว่า "ไม่มีเจ็บปวด ไม่มีผลได้" (CNA Insider, 2025) ซึ่งหมายถึงการสูญเสียในระยะสั้นเพื่อผลประโยชน์ระยะยาว

7.5) ผลกระทบจากนโยบายการค้าสหรัฐฯ และจีน

สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีนมีส่วนซ้ำเติมความท้าทายของภาคยานยนต์ไทย ภาษีสหรัฐฯ ที่สูงถึง 54% ต่อสินค้าจีนกระตุ้นให้จีนผลักดัน EV สู่ตลาดอื่น รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อผู้ผลิตไทย ในขณะเดียวกัน การที่สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกสำคัญของอาเซียนในปี 2024 (CNA Insider, 2025) แต่มีนโยบายปกป้องมากขึ้น ทำให้โอกาสในการส่งออกยานยนต์จากไทยไปสหรัฐฯ ลดลง การพึ่งพาตลาดส่งออก เช่น ออสเตรเลีย อเมริกาเหนือ และแอฟริกา ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของไทย กลายเป็นจุดอ่อนเมื่อเผชิญการแข่งขันจากจีนและข้อจำกัดทางการค้า

7.6) ความจำเป็นในการปรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการ

ผู้ประกอบการในไทยต้องเผชิญกับความท้าทายในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการลงทุน รถยนต์สมัยใหม่ โดยเฉพาะ EV ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะ แต่เป็น "อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และความบันเทิง" (CNA Insider, 2025) การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องการนวัตกรรม เช่น การพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบเชื่อมต่อ ซึ่งญี่ปุ่นและไทยตามหลังจีนอย่างมาก ผู้ประกอบการ SMEs ต้อง "คิดค้นตัวเองใหม่" เพื่อคงความเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทาน EV แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ใช้เวลานานและมีต้นทุนสูง ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในระยะสั้นต่อทั้งผู้ผลิตและแรงงาน

7.7) อนาคตของภาคยานยนต์ไทย: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

ถึงแม้จะเผชิญความท้าทาย ประเทศไทยมีศักยภาพในการพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ความรู้และประสบการณ์จากการเป็นศูนย์กลางยานยนต์กว่า 40 ปี รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานในระยอง สามารถใช้เป็นฐานในการพัฒนาอุตสาหกรรม EV การลงทุนจากจีน เช่น BYD และการสนับสนุนจากรัฐบาลในการสร้างระบบนิเวศ EV อาจช่วยให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยานยนต์สีเขียวในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถในการลดการพึ่งพาญี่ปุ่น และการพัฒนาทักษะแรงงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่


สรุป

ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทยสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ลึกซึ้ง อันเป็นผลจากสงครามภาษีโลก การแข่งขันจากจีน และการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยี EV การหดตัวของการผลิตและการสูญเสียงานเผยให้เห็นความเปราะบางของโมเดลอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ขณะที่การลงทุนจากจีนและนโยบายของรัฐบาลเปิดโอกาสใหม่ การปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่เป็นความจำเป็นทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นบททดสอบความยืดหยุ่นของประเทศไทยในยุคที่ "ว่ายทวนน้ำ" กลายเป็นเงื่อนไขแห่งการอยู่รอด (CNA Insider, 2025)

US-China Tariff War

 

  • พลวัตของสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน
  • ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • การพุ่งสูงขึ้นของการส่งออกของจีนและการเปลี่ยนทิศทางของตลาด
  • ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมจีน
  • วิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งทอในอินโดนีเซีย
  • การลดลงของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซีย
  • ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย
  • การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนิกเกิลในอินโดนีเซีย
  • ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์ของอาเซียน
  • ผลกระทบและการตอบสนองต่อการค้าโลก
  • 1) พลวัตของสงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    สงครามภาษีที่ทวีความรุนแรงระหว่างสหรัฐฯ และจีนภายใต้การบริหารของทรัมป์สะท้อนถึงการต่อสู้ทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อครองความเป็นใหญ่ทางเศรษฐกิจ ภาษีที่สูงถึง 54% บังคับให้สินค้าจีนที่มุ่งสู่สหรัฐฯ หาตลาดใหม่ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การปกป้องแบบนี้เผยให้เห็นความตึงเครียดที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก

    2) ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    ผู้ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญกับแรงกดดันสองด้านจากสินค้าจีนราคาถูกและภาษีสหรัฐฯ อุตสาหกรรมสิ่งทอ แผงโซลาร์ และยานยนต์ประสบปัญหาโรงงานปิดและการสูญเสียงาน สถานการณ์นี้ท้าทายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของอาเซียน

    3) การพุ่งสูงขึ้นของการส่งออกของจีนและการเปลี่ยนทิศทางของตลาด
    การส่งออกของจีนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 จำนวน 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้สินค้าถูกระบายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระตุ้นให้เกิดมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดในภูมิภาคและที่อื่นๆ

    4) ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมจีน
    นวัตกรรม เช่น โรงงานที่ใช้ AI และเครื่องทอผ้าอัตโนมัติ ช่วยให้จีนผลิตได้ตลอด 24 ชั่วโมง สนับสนุนโดยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและแรงงานที่มีวินัย ทำให้จีนครองตลาดสิ่งทอ แผงโซลาร์ และยานยนต์ไฟฟ้า

    5) วิกฤตอุตสาหกรรมสิ่งทอในอินโดนีเซีย
    อุตสาหกรรมสิ่งทอของอินโดนีเซียพังทลายจากสินค้าจีนราคาถูก โดยมี 60 บริษัทปิดตัวและคนงาน 250,000 คนถูกเลิกจ้าง ผลกระทบนี้ขยายไปสู่ภาคโลจิสติกส์และที่อยู่อาศัย

    6) การลดลงของการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซีย
    อุตสาหกรรมโซลาร์ของมาเลเซียเผชิญวิกฤตจากภาษีสหรัฐฯ สูงถึง 271% ทำให้โรงงานของ Jinko และ Longi ปิดตัว คุกคามอุตสาหกรรมที่เคยมุ่งสู่ตลาดสหรัฐฯ

    7) ความท้าทายของภาคยานยนต์ในประเทศไทย
    ภาคยานยนต์ไทยหดตัวเกือบ 30% ในปี 2024 จากการแข่งขันของยานยนต์ไฟฟ้าจีน เช่น BYD ทำให้โรงงานญี่ปุ่นปิดตัวและการจ้างงานลดลง

    8) การเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนิกเกิลในอินโดนีเซีย
    การลงทุนจากจีนเปลี่ยนซูลาเวซีเป็นศูนย์ผลิตนิกเกิลสำหรับแบตเตอรี่ EV สร้างงาน 200,000 ตำแหน่ง แต่เผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการตัดไม้ทำลายป่า

    9) ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจและกลยุทธ์ของอาเซียน
    อาเซียนแสดงความยืดหยุ่นผ่านการกระจายการค้าและบูรณาการระดับภูมิภาค เช่น การเจรจากับ EU และการใช้ทรัพยากรแร่ เพื่อลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และจีน

    10) ผลกระทบและการตอบสนองต่อการค้าโลก
    สงครามภาษีส่งผลกระทบทั่วโลก โดยประเทศต่างๆ ใช้มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาด การเปลี่ยนแปลงตลาดส่งออกของอาเซียนสู่สหรัฐฯ ในปี 2024 ต้องเผชิญความเสี่ยงจากนโยบายปกป้อง

    สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีน: การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่อภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีน:
    การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ต่อภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้



    สงครามภาษีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรงได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพลวัตการค้าโลก โดยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นทั้งสนามรบและแหล่งทดสอบการปรับตัวทางเศรษฐกิจ บทความนี้วิเคราะห์มิติสิบประการที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่โครงสร้างของสงครามภาษีไปจนถึงผลกระทบระดับโลก โดยอ้างอิงจากสารคดี CNA Insider "สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีน: ผู้ผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสูญเสียอะไรบ้าง?" เพื่อชี้ให้เห็นความท้าทายและโอกาสที่สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เผชิญอยู่ ผ่านมุมมองระดับบัณฑิตศึกษา การวิเคราะห์นี้ผสมผสานมุมมองวิชาการ ข้อมูลเชิงประจักษ์ และกรอบทฤษฎีเพื่อตรวจสอบการปะทะกันของภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ

    สงครามภาษีสหรัฐฯ-จีน ซึ่งรุนแรงขึ้นภายใต้ทรัมป์ แสดงถึงกลยุทธ์ปกป้องที่มุ่งลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ด้วยภาษีสูงถึง 54% (CNA Insider, 2025) นโยบายนี้เปลี่ยนทิศทางการส่งออก 3 ล้านล้านดอลลาร์ของจีน ซึ่งมีส่วนเกินการค้าเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2024 (New York Times, 2025) สู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังที่ Hufbauer และ Lu (2018) โต้แย้ง การเปลี่ยนทิศทางการค้านี้บิดเบือนตลาดภูมิภาค บังคับให้อาเซียนรับสินค้าส่วนเกินที่เดิมมุ่งสู่ผู้บริโภคตะวันตก พลวัตนี้เผยให้เห็นการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ภาษีกลายเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจ ซึ่งถูกวิจารณ์จากมาเลเซียว่า "ไม่ถูกต้อง" (CNA Insider, 2025)

    การผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นรากฐานของความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาค เผชิญภัยคุกคามจากสองด้านนี้ ในอินโดนีเซีย อุตสาหกรรมสิ่งทอที่เคยรุ่งเรืองด้วยยอดขาย 1.3 พันล้านดอลลาร์ของ Streetex ในปี 2020 ล่มสลาย โดยมี 60 บริษัทปิดตัวและคนงาน 250,000 คนถูกเลิกจ้างภายในปี 2024 (สมาคมผู้ผลิตเส้นใยอินโดนีเซีย, 2023-2024) ภาคโซลาร์ของมาเลเซีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Jinko Solar มูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ พังทลายจากภาษีสหรัฐฯ สูงถึง 271% (CNA Insider, 2025) ศูนย์ยานยนต์ของไทย ซึ่งผลิต 2.4 ล้านคันในปี 2012 หดตัวเหลือ 1.4 ล้านคันในปี 2024 จากการแข่งขันของ BYD (Kriangkrai, 2025) กรณีเหล่านี้แสดงถึงภูมิภาคที่ "ว่ายทวนน้ำ" ขณะเผชิญการปิดโรงงานและผลกระทบทางสังคม (CNA Insider, 2025)

    การพุ่งสูงขึ้นของการส่งออกจีน ซึ่งขับเคลื่อนโดยเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวและภาษีสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงขึ้นนี้ ด้วยการส่งออกที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นเป้าหมายของ "สึนามิสินค้าจีน" ตั้งแต่สิ่งทอไปจนถึง EV (CNA Insider, 2025) สอดคล้องกับทฤษฎีของ Krugman (1991) เรื่องความไม่สมดุลทางการค้า ซึ่งระบุว่าประเทศที่เน้นการส่งออกครอบงำตลาดใกล้เคียง แต่ประสิทธิภาพของจีน ซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าเป็น "กำลังการผลิตเกิน" มาจากโครงสร้างพื้นฐานที่เหนือชั้นและแรงงานที่มีวินัย (CNA Insider, 2025) ประสิทธิภาพนี้ขับเคลื่อนการส่งออกสิ่งทอมูลค่า 293.6 พันล้านดอลลาร์ในปี 2023 (ข้อมูลรัฐบาลจีน, 2023)

    ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีตอกย้ำความเหนือกว่าของจีน โรงงานที่ใช้ AI และเครื่องทออัตโนมัติทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแตกต่างจากรูปแบบที่ใช้แรงงานเข้มข้นของอาเซียน (CNA Insider, 2025) ดังที่ Acemoglu และ Restrepo (2019) ระบุ ระบบอัตโนมัติขยายช่องว่างผลผลิต ในอินโดนีเซีย ผู้ผลิตสิ่งทอบ่นว่า "แข่งขันไม่ได้" กับโรงงาน "มืด" ของจีน ขณะที่มาเลเซียล้มเหลวในการตามทันความก้าวหน้าของจีน (CNA Insider, 2025)

    วิกฤตสิ่งทอในอินโดนีเซียแสดงถึงความเสียหายในท้องถิ่น สินค้าจีนราคาถูกทำลายตลาดในประเทศและการส่งออก โดยแบรนด์อย่าง Zara และ Nike ลดการผลิตในอินโดนีเซีย (CNA Insider, 2025) ผลกระทบต่อคนงาน 800,000 คนกลายเป็นประเด็นการเมือง (สื่ออินโดนีเซีย, 2024) เช่นเดียวกัน การล่มสลายของโซลาร์ในมาเลเซียสะท้อนถึงการปะทะกันของนโยบายมหาอำนาจ ซึ่งสหรัฐฯ ใช้ภาษีตัดขาดอุตสาหกรรมของมาเลเซีย (CNA Insider, 2025)

    ภาคยานยนต์ไทยเผชิญการเปลี่ยนแปลง โดย EV ของ BYD ขัดขวางอุตสาหกรรมที่พึ่งพาเครื่องยนต์สันดาป การปิดโรงงานของ Subaru และ Nissan สะท้อนถึงการเปลี่ยนสู่การผลิตที่ใช้ระบบอัตโนมัติ ซึ่งสร้างงานน้อยลง (Kriangkrai, 2025) ในทางกลับกัน การเติบโตของนิกเกิลในอินโดนีเซียจากทุนจีนสร้างงาน 200,000 ตำแหน่ง แม้เผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อม (Carnegie Endowment, 2025)

    ความยืดหยุ่นของอาเซียนปรากฏผ่านการปรับตัว อินโดนีเซียเจรจากับ EU มาเลเซียใช้แร่ธาตุสำคัญ และไทยมุ่งสู่อุตสาหกรรม EV (CNA Insider, 2025) กลยุทธ์เหล่านี้สอดคล้องกับกรอบของ Porter (1990) เรื่องความได้เปรียบทางการแข่งขัน อาเซียนคาดการณ์การเติบโต 5% แม้มีอุปสรรค (World Bank, 2025)

    ระดับโลก ผลกระทบจากสงครามภาษีขยายวงกว้าง โดยมีมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดในชิลี เม็กซิโก และอินเดีย สหรัฐฯ แซงหน้าจีนเป็นตลาดส่งออกหลักของอาเซียนในปี 2024 แต่เผชิญความเสี่ยงจากนโยบายปกป้อง (CNA Insider, 2025) ดังที่ Rodrik (2018) แนะนำ ต้องมีนโยบายที่ชาญฉลาด

    โดยสรุป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญทั้งความเปราะบางและโอกาสจากสงครามภาษี อาเซียนต้องใช้เทคโนโลยีและกลยุทธ์เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืน แม้ในยามที่ยักษ์ใหญ่ปะทะกัน

    เอกสารอ้างอิง

    • Acemoglu, D., & Restrepo, P. (2019). Automation and New Tasks. Journal of Economic Perspectives.
    • Hufbauer, G. C., & Lu, Z. (2018). The Costs of Trump’s Trade War. Peterson Institute for International Economics.
    • Krugman, P. (1991). Geography and Trade. MIT Press.
    • Porter, M. E. (1990). The Competitive Advantage of Nations. Free Press.
    • Rodrik, D. (2018). Straight Talk on Trade. Princeton University Press.

    Wednesday, April 9, 2025

    การวิเคราะห์ท่าทีของทรัมป์ผ่านมุมมอง "ซุนวู" (ซุนจื่อ) จาก "ศิลปะแห่งสงคราม"

    การวิเคราะห์ท่าทีของทรัมป์ผ่านมุมมอง "ซุนวู" (ซุนจื่อ) จาก "ศิลปะแห่งสงคราม"


    การที่ทรัมป์ประกาศเลื่อนมาตรการภาษี 90 วันสำหรับประเทศที่ไม่ตอบโต้สหรัฐฯ แต่ขึ้นภาษีจีนเป็น 125% สามารถตีความได้ว่าเป็นกลยุทธ์ที่สะท้อนทั้งความกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจในประเทศและการพยายามรักษาหน้าตาทางการเมือง โดยมุ่งเป้าไปที่จีนเป็นหลัก เราจะใช้หลักคิดของซุนวู (Sun Tzu) จาก "ศิลปะแห่งสงคราม" (The Art of War) เพื่ออ่านเกมการต่อสู้ทางการค้านี้ โดยพิจารณาผ่านแนวคิดหลัก ๆ ดังนี้:

    1. "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" (知彼知己,百戰不殆)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูเน้นว่าการรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของทั้งตนเองและศัตรูเป็นกุญแจสู่ชัยชนะ การตัดสินใจของทรัมป์แสดงให้เห็นว่าเขาตระหนักถึง "จุดอ่อน" ของสหรัฐฯ เอง เช่น การที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ (เช่น S&P 500, Dow Jones) ร่วงหนักหลังประกาศภาษีก่อนหน้านี้ และคำเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์ถึงโอกาสเกิดภาวะถดถอย (recession) หากเดินหน้าสงครามการค้าเต็มรูปแบบ การเลื่อนภาษี 90 วันสำหรับประเทศอื่นนอกจากจีนจึงเป็นการ "ถอยเพื่อรักษากำลัง" (退而保己) เพื่อลดแรงกดดันในประเทศ โดยเฉพาะจากภาคธุรกิจและนักลงทุนที่กังวลเรื่องต้นทุนสินค้าและความผันผวนของตลาด
    • มุมมองต่อจีน: ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ "รู้เขา" ว่าจีนเป็นคู่แข่งหลักที่มีศักยภาพสูงและตอบโต้อย่างแข็งกร้าว (เช่น ภาษี 84%) การขึ้นภาษีจีนถึง 125% จึงเป็นการโจมตีเป้าหมายหลักเพื่อกดดันให้จีนยอมเจรจา หรือหวังให้จีนเสียหายมากกว่าสหรัฐฯ ในระยะยาว

    2. "ชัยชนะสูงสุดคือชนะโดยไม่ต้องรบ" (不戰而屈人之兵)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูกล่าวว่าการชนะโดยไม่ต้องลงสนามรบจริงคือยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุด การที่ทรัมป์เลือก "หยุดชั่วคราว" กับประเทศที่ไม่ตอบโต้ (กว่า 75 ประเทศที่ติดต่อขอเจรจา) แสดงถึงการใช้ "การข่มขู่" (威懾) เพื่อบีบให้ประเทศเหล่านี้ยอมเจรจาโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากันเต็มที่ การลดภาษีเหลือ 10% ชั่วคราวและให้เวลา 90 วันเป็นเหมือน "แครอท" (carrot) ที่จูงใจให้ประเทศอื่น ๆ เข้าสู่โต๊ะเจรจา แทนการใช้ "ไม้ตี" (stick) อย่างเต็มรูปแบบ
    • มุมมองต่อจีน: แต่กับจีนที่เลือกตอบโต้ ทรัมป์กลับใช้ "ไม้แข็ง" (硬仗) โดยขึ้นภาษีถึง 125% ซึ่งขัดกับหลักซุนวูในแง่ที่ว่า การรบโดยตรงกับศัตรูที่พร้อมสู้ถึงที่สุด (จีนระบุชัดว่า "จะสู้ถึงที่สุด") อาจนำไปสู่การสูญเสียทั้งสองฝ่าย (兩敗俱傷) แทนการชนะแบบไม่ต้องรบ

    3. "ใช้ความโกลาหลเป็นโอกาส" (亂中取勝)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูแนะให้ฉวยโอกาสจากความวุ่นวาย ทรัมป์อาจมองว่าความผันผวนของตลาดโลกและการตอบโต้ของจีนเป็น "โอกาส" ที่จะแยกจีนออกจากพันธมิตรอื่น ๆ การให้เวลาประเทศอื่น 90 วันเพื่อเจรจา พร้อมกับลงโทษจีนหนัก ๆ เป็นการสร้างภาพว่าสหรัฐฯ ยังเป็นผู้นำที่ "ควบคุมเกมได้" และพยายามดึงประเทศอื่นมาเป็นพันธมิตร (เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, เวียดนาม) เพื่อต่อต้านจีน ซึ่งสอดคล้องกับที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ (Scott Bessent) ระบุว่า "นี่คือกลยุทธ์ตั้งแต่ต้น" เพื่อแยกจีนออกจากระบบการค้าโลก
    • มุมมองต่อจีน: อย่างไรก็ตาม จีนเองก็อาจใช้หลักนี้เช่นกัน โดยฉวยโอกาสจากความโกลาหลนี้เพื่อกระชับสัมพันธ์กับประเทศอื่น (เช่น การลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และหันไปค้าขายกับเอเชียหรือยุโรป) ซึ่งอาจทำให้กลยุทธ์ของทรัมป์ไม่สำเร็จเต็มที่

    4. "โจมตีจุดอ่อน หลีกเลี่ยงจุดแข็ง" (攻其無備,出其不意)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูแนะให้โจมตีจุดที่ศัตรูไม่พร้อมและคาดไม่ถึง การเลื่อนภาษี 90 วันสำหรับประเทศอื่นอาจเป็นการ "หลีกเลี่ยงจุดแข็ง" ของกลุ่มประเทศที่พร้อมตอบโต้ (เช่น EU ที่เตรียมภาษี 25% มูลค่า 21 พันล้านยูโร) เพื่อลดความเสียหายที่อาจเกิดจากการถูกรุมตอบโต้จากหลายฝ่ายพร้อมกัน ส่วนการขึ้นภาษีจีนถึง 125% เป็นการ "โจมตีจุดอ่อน" ที่ทรัมป์มองว่าจีนพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ มาก และหวังว่าภาษีสูงจะบีบให้จีนยอมถอย
    • มุมมองต่อจีน: แต่จีนได้พิสูจน์แล้วว่ามีความยืดหยุ่นสูง (resilience) จากสงครามการค้ารอบก่อน (2018-2019) โดยลดการพึ่งพาสหรัฐฯ (เช่น ถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ลดลง) และหันไปพึ่งตลาดในประเทศและพันธมิตรอื่น การโจมตีจุดนี้ของทรัมป์อาจไม่รุนแรงเท่าที่คาด

    5. "รักษาหน้าและกำลังใจของกองทัพ" (士氣不可挫)

    • การวิเคราะห์: ซุนวูให้ความสำคัญกับขวัญกำลังใจของกองทัพ (ในที่นี้คือประชาชนและภาคธุรกิจสหรัฐฯ) การถอยจากนโยบายภาษีเต็มรูปแบบหลังตลาดร่วงและมีเสียงคัดค้านจากทั้งในและนอกประเทศ แสดงว่าทรัมป์กังวลเรื่อง "การเสียหน้า" และ "ขวัญกำลังใจ" ในสหรัฐฯ การเลื่อน 90 วันและลดภาษีเหลือ 10% เป็นการ "ซื้อเวลา" เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นในตลาด (เห็นได้จาก S&P 500 พุ่ง 9.5% หลังประกาศ) พร้อมกับโยนความผิดไปที่จีนว่า "ไม่เคารพตลาดโลก" เพื่อรักษาภาพลักษณ์ผู้นำที่เข้มแข็ง
    • มุมมองต่อจีน: การที่ทรัมป์มุ่งโจมตีจีนอาจเป็นการ "เสียหน้า" น้อยกว่าในสายตาผู้สนับสนุน เพราะจีนถูกมองเป็น "ศัตรูหลัก" ในนโยบาย America First แต่หากจีนทนได้นานกว่าที่คาด ภาพลักษณ์ของทรัมป์อาจเสียหายแทน

    การอ่านเกมโดยรวม

    จากมุมมองของซุนวู ท่าทีของทรัมป์เป็นการผสมผสานระหว่าง "การถอยเพื่อตั้งหลัก" และ "การโจมตีเพื่อกดดัน" ซึ่งมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน:

    • จุดแข็ง: การเลื่อน 90 วันช่วยลดแรงกดดันในสหรัฐฯ และดึงพันธมิตรมาเจรจาได้สำเร็จ (กว่า 75 ประเทศ) ขณะที่การขึ้นภาษีจีนอาจสร้างความเสียหายให้จีนในระยะสั้น โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ
    • จุดอ่อน: การเผชิญหน้ากับจีนโดยตรงอาจไม่สอดคล้องกับหลัก "ชนะโดยไม่รบ" เพราะจีนมีทรัพยากรและความพร้อมที่จะสู้ยืดเยื้อ สหรัฐฯ เองก็เสี่ยงต่อภาวะถดถอยหากสงครามการค้ายืดเยื้อเกิน 90 วัน

    มุมมองของจีนตามซุนวู

    จีนน่าจะใช้กลยุทธ์ "ยืดเยื้อเพื่อให้ศัตรูอ่อนล้า" (以逸待勞) โดยรอให้สหรัฐฯ เผชิญผลกระทบจากนโยบายของตัวเอง (เช่น ราคาสินค้าแพงขึ้นในสหรัฐฯ) และใช้เวลา 90 วันนี้กระชับสัมพันธ์กับประเทศอื่นเพื่อลดผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ

    สรุป

    ทรัมป์กำลังเล่นเกม "ข่มขู่และซื้อเวลา" เพื่อรักษาหน้าและลดความเสียหายในประเทศ แต่การมุ่งโจมตีจีนอย่างหนักอาจเป็นดาบสองคม เพราะจีนมีศักยภาพที่จะต้านทานและตอบโต้ในระยะยาว ตามหลักซุนวู สหรัฐฯ อาจได้เปรียบในระยะสั้น แต่หากไม่สามารถบีบจีนให้ยอมได้ใน 90 วัน ชัยชนะที่แท้จริงอาจตกเป็นของจีนที่ "รอให้ศัตรูพ่ายแพ้ด้วยตัวเอง"

    การวิเคราะห์ระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงในปี 2025

    การวิเคราะห์ระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงในปี 2025

    สถานการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน (ภาษี 104% ของสหรัฐฯ และการตอบโต้ด้วยภาษี 84% ของจีน) สามารถวิเคราะห์ได้ว่าระเบียบการค้าโลกในปัจจุบัน (วันที่ 9 เมษายน 2025) มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างชัดเจน โดยอิงจากพัฒนาการของระบบการค้าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ดังนี้:


    1. บริบทดั้งเดิมของระเบียบการค้าโลก

    • GATT (1947) และ WTO (1995): หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกมุ่งสู่การค้าเสรีผ่านการลงนามในข้อตกลง GATT และต่อมาพัฒนาเป็น WTO เป้าหมายหลักคือการลดภาษีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้า เพื่อส่งเสริมการค้าเสรี (free trade) และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก การเจรจารอบอุรุกวัย (1986-1994) เป็นจุดสูงสุดที่ทำให้อัตราภาษีทั่วโลกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
    • หลักการพื้นฐาน: ระบบนี้เน้นความร่วมมือระหว่างประเทศ ความเท่าเทียมในการค้า และการหลีกเลี่ยงการกีดกันทางการค้า (trade barriers) โดยมีกฎกติกาที่ชัดเจนภายใต้กรอบ WTO

    2. การเปลี่ยนแปลงในระเบียบการค้าโลก

    จากข้อมูลและเหตุการณ์ล่าสุด สามารถระบุการเปลี่ยนแปลงได้ดังนี้:

    ก. การกลับมาของนโยบายปกป้องผลประโยชน์ (Protectionism)
    • บริบทเดิม: GATT และ WTO ส่งเสริมการค้าเสรี แต่ข้อมูลระบุว่าแม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็ยังพยายามปกป้องผู้ผลิตและตลาดในประเทศด้วย "มาตรการที่ซับซ้อนและคลุมเครือ" ซึ่งยากต่อการตัดสินว่าเป็นการกีดกันทางการค้า
    • สถานการณ์ปัจจุบัน: การที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษี 104% ต่อสินค้าจีน และจีนตอบโต้ด้วยภาษี 84% เป็นตัวอย่างชัดเจนของนโยบายปกป้องผลประโยชน์ (protectionism) ที่ขัดแย้งกับเจตนารมณ์ของการค้าเสรี การกระทำนี้ไม่ใช่แค่การปกป้องผู้ผลิตในประเทศ แต่ยังเป็นการใช้ภาษีเป็น "อาวุธ" ในการต่อสู้ทางเศรษฐกิจและการเมือง
    • การเปลี่ยนแปลง: แทนที่จะเจรจาภายใต้กรอบ WTO หรือลดภาษีตามหลักการค้าเสรี ประเทศมหาอำนาจกลับเลือกใช้มาตรการฝ่ายเดียว (unilateral measures) ซึ่งบ่งบอกว่าระเบียบการค้าโลกกำลังถอยห่างจากความร่วมมือไปสู่การเผชิญหน้า
    ข. การท้าทายจากประเทศเกิดใหม่ (Emerging Economies)
    • บริบทเดิม: ข้อมูลระบุว่า การเติบโตของจีนและอินเดียเป็น "แรงกดดัน" ต่อประเทศพัฒนาแล้ว ทำให้มหาอำนาจดั้งเดิม เช่น สหรัฐฯ ต้องปรับตัวหรือตอบโต้เพื่อรักษาดุลอำนาจ
    • สถานการณ์ปัจจุบัน: จีนกลายเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจหลักของสหรัฐฯ และการตอบโต้ด้วยภาษีของทั้งสองฝ่ายสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่าง "มหาอำนาจเดิม" (สหรัฐฯ) และ "มหาอำนาจใหม่" (จีน) การที่จีนไม่ยอมรับ "พฤติกรรมรังแก" และพร้อมสู้ถึงที่สุดแสดงให้เห็นว่า ประเทศเกิดใหม่ไม่ได้เป็นเพียงผู้ตามในระบบการค้าโลกอีกต่อไป แต่มีอำนาจต่อรองสูงขึ้น
    • การเปลี่ยนแปลง: ระเบียบการค้าโลกที่เคยถูกครอบงำโดยประเทศพัฒนาแล้วกำลังถูกท้าทายโดยประเทศเกิดใหม่ ส่งผลให้เกิดการแบ่งขั้วอำนาจ (polarization) และลดบทบาทของ WTO ในการเป็นตัวกลางแก้ไขข้อพิพาท
    ค. การลดทอนบทบาทของ WTO
    • บริบทเดิม: WTO เป็นกลไกหลักในการกำกับการค้าโลกและแก้ไขข้อพิพาท แต่ข้อมูลระบุว่ามาตรการของประเทศพัฒนาแล้วมัก "คลุมเครือ" และตัดสินยากว่าเป็นการกีดกันทางการค้า
    • สถานการณ์ปัจจุบัน: การที่สหรัฐฯ และจีนเลือกใช้ภาษีสูงลิ่วโดยไม่ผ่านการเจรจาหรือกลไกของ WTO แสดงถึงการเพิกเฉยต่อระเบียบการค้าที่มีกฎกติกา การที่จีนเรียกร้อง "ความเท่าเทียมและการเคารพ" แต่สหรัฐฯ เดินหน้านโยบายฝ่ายเดียว บ่งบอกว่า WTO อาจไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะควบคุมสถานการณ์นี้
    • การเปลี่ยนแปลง: ระเบียบการค้าโลกที่เคยยึดโยงกับกรอบพหุภาคี (multilateral framework) ของ WTO กำลังถูกแทนที่ด้วยนโยบายทวิภาคี (bilateral) หรือฝ่ายเดียวที่มีลักษณะเผชิญหน้ามากขึ้น
    ง. สงครามการค้าเต็มรูปแบบ
    • บริบทเดิม: สงครามการค้าในอดีต (เช่น ช่วงทศวรรษ 1930) นำไปสู่ความเสียหายทางเศรษฐกิจทั่วโลก และ GATT/WTO ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ
    • สถานการณ์ปัจจุบัน: สื่ออังกฤษ เช่น Financial Times และ The Guardian ต่างพาดหัวว่า "สงครามการค้าเต็มรูปแบบ" เริ่มขึ้นแล้ว ภาษี 104% ของสหรัฐฯ และ 84% ของจีนไม่ใช่แค่การตอบโต้เฉพาะหน้า แต่เป็นการยกระดับสู่ความขัดแย้งระยะยาวที่อาจลามไปยังประเทศอื่น
    • การเปลี่ยนแปลง: การค้าโลกกำลังเคลื่อนจาก "ความร่วมมือเพื่อผลประโยชน์ร่วม" ไปสู่ "การแข่งขันเพื่อครองอำนาจ" ซึ่งขัดแย้งกับหลักการดั้งเดิมของ GATT/WTO

    3. ระเบียบการค้าโลกเปลี่ยนไปอย่างไร

    • จากความร่วมมือสู่การแข่งขัน: การค้าเสรีที่เน้นความร่วมมือถูกแทนที่ด้วยการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจ โดยใช้ภาษีเป็นเครื่องมือกดดันและต่อสู้
    • จากพหุภาคีสู่ทวิภาคี/ฝ่ายเดียว: บทบาทของ WTO ถูกลดทอน ประเทศเลือกดำเนินนโยบายตามผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าปฏิบัติตามกรอบสากล
    • จากมหาอำนาจเดิมครอบงำสู่การแบ่งขั้ว: การเติบโตของจีนและประเทศเกิดใหม่ทำให้ระเบียบการค้าโลกไม่ใช่เกมที่ครอบงำโดยตะวันตกเพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป แต่เกิดการแบ่งขั้วอำนาจระหว่างสหรัฐฯ และจีน
    • จากเสถียรภาพสู่ความผันผวน: ภาษีสูงสุดในรอบศตวรรษ (ตาม Financial Times) และผลกระทบต่อตลาดหุ้น (เช่น FTSE) แสดงว่าระเบียบการค้าโลกกำลังเข้าสู่ภาวะไม่แน่นอนและผันผวน

    4. สรุป

    ใช่ ระเบียบการค้าโลกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างแน่นอน จากระบบที่เน้นการค้าเสรี ความร่วมมือ และกฎกติกาสากลภายใต้ GATT/WTO กลายเป็นระบบที่เต็มไปด้วยการปกป้องผลประโยชน์ การเผชิญหน้า และการแบ่งขั้วอำนาจระหว่างมหาอำนาจเก่าและใหม่ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปัจจุบัน (เมษายน 2025) เป็นจุดเปลี่ยนที่ยืนยันว่าระเบียบการค้าโลกไม่ได้มุ่งสู่ความเป็นหนึ่งเดียวหรือเสถียรภาพอีกต่อไป แต่กำลังเข้าสู่ยุคแห่งความขัดแย้งและการปรับโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบยาวนานต่อเศรษฐกิจโลกในอนาคต

    แผนการใหญ่ของทรัมป์

    แผนการใหญ่ของทรัมป์:
    การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ของการรื้อถอนรัฐบาลกลางและการรวมอำนาจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

    การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมักถูกมองว่าไร้ระเบียบและไร้ทิศทาง ถูกโต้แย้งโดยนักเศรษฐศาสตร์การเมือง ริชาร์ด เจ. เมอร์ฟี ว่าซ่อนกลยุทธ์อันซับซ้อนไว้: การทำลายอำนาจรัฐบาลกลางอย่างเป็นระบบเพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของมหาเศรษฐีเทคโนโลยี

    1. แผนการใหญ่ของทรัมป์
    ริชาร์ด เจ. เมอร์ฟี เสนอว่า การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ดำเนินการด้วยกลยุทธ์พื้นฐาน แม้จะดูเหมือนไร้ระเบียบ วาทกรรมนี้ ซึ่งทรัมป์ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจน ปรากฏผ่านการวิเคราะห์การกระทำของรัฐบาล เมอร์ฟีชี้ว่า ทรัมป์มุ่งปรับโครงสร้างอำนาจให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ที่ต้องการบ่อนทำลายอำนาจรัฐบาลแบบดั้งเดิม เผยให้เห็นเจตนาที่คำนวณไว้ภายใต้ความไร้ระเบียบผิวเผิน

    2. บทบาทของมหาเศรษฐีเทคโนโลยี
    ทรัมป์ถูกมองว่าเป็นตัวแทนของ “มหาเศรษฐีเทคโนโลยี”—อีลอน มัสก์, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก, เจฟฟ์ เบโซส—ที่มีความมั่งคั่งและอิทธิพลจากอาณาจักรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การปรากฏตัวอย่างเด่นชัดของพวกเขาในพิธีสาบานตนของทรัมป์ บ่งบอกถึงความสัมพันธ์แบบพึ่งพากัน ซึ่งรัฐบาลของทรัมป์ส่งเสริมวาระของพวกเขา โดยให้ความสำคัญกับอำนาจองค์กรเหนืออำนาจอธิปไตยของรัฐ

    3. อำนาจของข้อมูล
    ข้อมูลคือรากฐานของการครอบงำของมหาเศรษฐีเทคโนโลยี ทำให้สามารถคาดการณ์พฤติกรรมและกำหนดเป้าหมายโฆษณาได้ เมอร์ฟีโต้แย้งว่า การควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาเกินกว่าความตระหนักรู้ในตนเองของบุคคล เปิดโอกาสให้มีการบงการ ซึ่งเป็นพลังที่พวกเขาต้องการปกป้องและขยายภายใต้การนำของทรัมป์

    4. ความกลัวต่อการควบคุมการผูกขาด
    มหาเศรษฐีเทคโนโลยีหวาดกลัวกฎหมายต่อต้านการผูกขาดและมาตรการควบคุมข้อมูล ซึ่งแสดงออกผ่านนโยบายของโจ ไบเดนและกรอบการกำกับดูแลของสหภาพยุโรป สิ่งเหล่านี้เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจผูกขาดของพวกเขา กระตุ้นให้เกิดพันธมิตรกับทรัมป์เพื่อป้องกันการแทรกแซงของรัฐบาล

    5. บรรทัดฐานทางประวัติศาสตร์ของกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
    เมอร์ฟีเปรียบเทียบกับอเมริกาต้นศตวรรษที่ 20 ที่เท็ดดี รูสเวลต์ใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดเพื่อทำลายการผูกขาดทางรถไฟและเหล็ก การแทรกแซงนี้ฟื้นฟูการแข่งขัน ป้องกันการแสวงหาผลกำไรเกินปกติ ปัจจุบัน การผูกขาดด้านเทคโนโลยีเผชิญการตรวจสอบคล้ายกัน ซึ่งพันธมิตรของทรัมป์พยายามขัดขวาง

    6. ภัยคุกคามของไบเดนต่ออำนาจเทคโนโลยี
    การบริหารของโจ ไบเดนเป็นสัญลักษณ์ของการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดและการควบคุมข้อมูล ท้าทายความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีเทคโนโลยี เมอร์ฟีโต้แย้งว่า ภัยคุกคามนี้กระตุ้นให้พวกเขาสนับสนุนทรัมป์ ซึ่งเป็นพลังต้านการกำกับดูแลของรัฐบาลกลาง

    7. การรื้อถอนรัฐบาลกลาง
    การบริหารของทรัมป์ ผ่านโครงการเช่นกรมประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) มุ่งบ่อนทำลายอำนาจรัฐบาลกลาง เมอร์ฟีตีความว่านี่เป็นกลยุทธ์โดยเจตนาเพื่อลดทอนหน่วยงานที่สามารถควบคุมการผูกขาดด้านเทคโนโลยี

    8. การควบคุมข้อมูลของรัฐบาล
    เป้าหมายสำคัญคือการยึดข้อมูลของรัฐบาลกลาง—ประกันสังคม, กรมสรรพากร, บันทึกทหารผ่านศึก—เพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ เมอร์ฟีชี้ว่านี่อาจผิดกฎหมาย มุ่งอนุญาตให้ใช้ข้อมูลนี้เพื่อเพิ่มอำนาจของเทคโนโลยี

    9. การถ่ายโอนอำนาจสู่รัฐ
    การถ่ายโอนความรับผิดชอบ เช่น การศึกษาและประกันสังคม สู่รัฐ เป็นตัวอย่างของการรื้อถอนรัฐบาลกลาง เมอร์ฟีมองว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์เพื่อลดทอนอำนาจส่วนกลาง

    10. ผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศ
    การถอนตัวของทรัมป์จากยูเครนมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้สหภาพยุโรป—เป็นภัยคุกคามด้านกฎระเบียบ—ไม่มั่นคง เมอร์ฟีโต้แย้งว่านี่สะท้อนถึงความปรารถนาของมหาเศรษฐีเทคโนโลยีในการลดทอนการกำกับดูแลจากภายนอก