อย่างที่ผมเคยเขียนไว้ในบล็อคอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ผมมองว่ากระแสคิดหรืออุดมการณ์ของสังคมนั้นมี ๒ อุดมการณ์หรือ ๒ กะแสหลักที่ต่อสู้ขับเคี่ยวแข่งขันกัน ในทัศนะของผม ๒ กระแสที่ว่านี้ ก็คือ กระแสอุดมการณ์อนุรักษนิยม และอีกกระแสที่ขึ้นมาท้าทายโดยเฉพาะในสังคมไทยก็คือกระแสที่ก้าวหน้ามากขึ้นหรือกระแสเสรีนิยม
สำหรับการรัฐประหารยึดอำนาจครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นเมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ แน่นอนว่านี่เป็นปฏิกิริยาของอุดมการณ์อนุรักษนิยมที่โต้กับกระแสเสรีนิยม หลายคนที่สนับสนุนการทำรัฐประหารจึงเป็นคนที่ตกอยู่ในกระแสอนุรักษนิยม หลายคนอาจดีใจที่ทหารขึ้นมากำจัดฝ่ายตรงข้ามหรือรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ตนเองไม่ชอบ เพราะรัฐบาลจากการเลือกตั้งมีความเลวร้ายในด้านต่างๆ อาทิ การคอร์รัปชั่น พรบ.เหมาเข่ง นักการเมืองชั่ว ฯลฯ
คนที่สนับสนุนการทำรัฐประหารอาจไม่รู้สึกว่า การทำรัฐประหารยึดอำนาจของทหารมีอะไรเลวร้าย เราก็ยังคงใช้ชีวิตกันปกติ ทำมาหากิน ไปไหนมาไหนได้โดยปกติไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร เรื่องช่วยเหลือชาวนาก็เป็นไปได้ด้วยดี http://s3930201.blogspot.com/2014/05/blog-post_30.html นโยบายอะไรต่างๆ ทหารก็บริหารได้อย่างฉับไว ถูกใจเรายิ่งนัก พวกที่ออกมาโวยวายก็ปล่อยๆ ให้โวยวายไปอย่างนั้น ตัวเราก็มีความสุขเหมือนท่านผู้นำว่าไว้ "คืนความสุขให้คนไทย"
แต่ที่ผมพูดมาทั้งหมด มันเป็นความพึงพอใจแค่ระดับปัจเจกก็คือตัวท่านเอง สาเหตุที่ท่านพอใจและมีความสุขกับการทำรัฐประหารยึดอำนาจของทหาร เพราะท่านสนับสนุนให้ทหารเข้ามาแทรกแซงล้มรัฐบาลจากการเลือกตั้งตั้งแต่แรกแล้ว ท่านจึงเป็นได้เพียงลูกสมุนของพวกเผด็จการทหารเท่านั้นเอง คนที่ไม่รู้ค่าสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของตัวเอง จะไปรู้เรื่องเสรีภาพและศักดิ์ศรีที่แท้จริงที่ตัวเองมีได้อย่างไรกัน
การที่ท่านสนับสนุนรัฐประหารท่านก็เป็นเพียงสมุนเผด็จการดีๆ นี่เอง ท่านผู้นำทำอะไรให้ก็ดูดีไปหมด ทั้งๆ ที่ระบบแบบนี้มันเป็นระบบความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบที่มองคนเราไม่เท่ากัน นายว่า ขี้ขาพลอยก็เท่านั้นเอง ท่านอาจไม่ได้ตระหนักว่า คนอีกกลุ่มเขาได้รับผลกระทบอย่างไรจากการทำรัฐประหาร การถูกเรียกตัว ถูกกักขัง http://ilaw.or.th/node/3177 การประกาศกฎอัยการศึก การใช้กำลังเข้ายึดอำนาจเพราะมีอาวุธมีกำลัง สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้แสดงออกถึงความอารยะอะไรเลย ก็แค่เรื่องของการใช้กำลังแบบคนเถื่อนย้อนกลับไปสู่ยุคโบราณ
คนที่สนับสนุนอาจจะมีความสุข ไม่เดือดร้อน ก็ยังใช้ชีวิตกันไปตามปกติ ทำมาหากินกันไปเหมือนเช่นทุกๆ วัน แต่นั่นมันเป็นความสุขในระดับปัจเจก ท่านไม่เคยพิจารณาให้สูงขึ้นไปอีกชั้นหนึง นั่นคือ ความทุกข์ในระดับสังคม การรัฐประหารอาจนำความสุขมาให้ในระดับปัจเจก โดยเฉพาะสำหรับฝ่ายอนุรักษนิยมและผู้ที่สนับสนุน แต่ก็ก่อทุกข์อย่างมากในระดับสังคม
ประการแรก ฝ่ายที่เขาไม่เห็นด้วย เขาเดือดร้อนแน่ๆ อย่างน้อยก็มีคนถูกเรียกตัว อย่างนักวิชาการที่เขาสนับสนุนการได้มาซึ่งผู้นำที่มาจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่ได้มาด้วยการยึดอำนาจ คนเหล่านี้ถูกห้ามแสดงออก หรือห้ามคัดค้านโดยคำสั่งของผู้ที่มีกำลังหาใช่ด้วยเหตุผลไม่
ประการที่สอง การยึดอำนาจโดยรัฐประหารก็เท่ากับว่าผู้ยึดอำนาจไม่ได้เคารพกติกา โดยเฉพาะกติกาใหญ่ของสังคมนั่นคือรัฐธรรมนูญ ท่า่นเข้ามายึดแล้วฉีกรัฐธรรมนูญที่เป็นกติกาหลักของคนในสังคม แล้วสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นองค์อธิปัตย์ประกาศออกกฎหมายเอง โดยไม่รู้ว่าเอาความชอบธรรมมาจากไหน นอกจากปากกระบอกปืน ถ้าเล่นกันอย่างนี้ วันหนึ่งใครมีปืนมีรถถังก็เอามายึดอำนาจและสถาปนาตัวเองขึ้นปกครองประเทศอีก และจริงๆ ประเทศไทยเราก็ทำอย่างนี้มาตลอดจนกลายเป็นวัฒนธรรม ไม่เชื่อก็ลองอ่านบทความชิ้นนี้ดูสิครับ (สำหรับคนที่พออ่านภาษาอังกฤษได้นะ)
Why Democracy Struggles: Thailand's elite coup culture (ทำไมประชาธิปไตยถึงต้องดิ้นรน: วัฒนธรรมการก่อรัฐประหารของชนชั้นนำไทย) http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/wp-content/uploads/2013/12/Why-democracy-struggles-Farrelly.pdf
นี่จึงไม่ใช่ปัญหาระดับปัจเจก แต่เป็นปัญหาใหญ่ในระดับสังคม ซึ่งคนทั่วๆ ไปไม่ค่อยตระหนัก เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาไกลตัว ไม่มองให้สูงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง (หรือมองไม่เห็นก็ไม่ทราบ) มองไม่เห็นว่ามันกระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวันของตัวเองสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะคนที่สนับสนุนการทำรัฐประหาร
ประการที่สาม ประเทศไทยไม่ได้อยู่เพียงลำพังในโลก โลกประกอบด้วยรัฐต่างๆ และมีการตกลงในเรื่องกติกาและคุณค่าสากลบางประการ เช่น เรื่องสิทธิพลเมือง เสรีภาพ ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ หลักประชาธิปไตยสากล อย่างเช่นคำพูดที่ว่า 'เราถือว่าความจริงต่อไปนี้ประจักษ์แจ้งในตัวเอง ความจริงที่ว่า มนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาให้เท่าเทียมกัน' (We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal.) http://share.psu.ac.th/blog/pisan-surat/16917 สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องทางสังคม และสากลโลกให้การรับรอง แต่การทำรัฐประหารทำลายสิ่งเหล่านี้ และสากลโลกไม่ยอมรับ ใครสนับสนุนการทำรัฐประหาร ก็เท่ากับสนุนการทำลายหลักสากลและไม่เคารพสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีที่ตัวเองมีนั่นเอง
สำหรับฝ่ายอนุรักษนิยมและผู้ที่สนับสนุนการรัฐประหารอาจจะมีความสุขในระดับปัจเจก แต่พึงตระหนักไว้เถิดว่าท่านได้ทำลายและก่อความทุกข์ในระดับสังคมที่ท่านอยู่และสังคมโลกเองก็ไม่ยอมรับ
No comments:
Post a Comment