ข่าวกรณีของจาตุรนต์ ฉายแสง
ชวนให้นึกถึงหนังสือแปล เล่มนี้
บทสนทนาตอนหนึ่งในหนังสือชวนให้ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ
"ความยุติธรรมในประเทศนี้"
ว่า มันเหมือนหรือต่างจาก "ความยุติธรรม" ตามสามัญสำนึกของเราอย่างไร?
ทนายจำเลย คลาริสซ่า
“ท่านได้รับฟังหลักฐานจากผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายท่านว่าการตรวจ
สอบดินระเบิดเจลิกไนต์ที่ใช้เป็นพื้นฐานมาตัดสินว่าผู้ยื่นอุทธรณ์มีความผิดนั้น
ล้วนแต่เชื่อถือไม่ได้
ทั้งสิ้น เชื่อถือไม่ได้พอๆ
กับหลักฐานของนักพิสูจน์ลายนิ้วมือที่ฝ่ายอัยการใช้มาฟ้องร้องดำเนินคดี...
“ท่านได้ฟังหลักฐานจากเจ้าหน้าที่เรือนจำจำนวนหนึ่งว่าผู้ยื่นอุทธรณ์ถูกซ้อมสะบักสะบอม
ว่าที่พวกเขาตาเขียวช้ำ ซี่โครงหักและมีบาดแผลถลอกปอกเปิกนั้นหาใช่เกิดจากนิสัยวิตถารประเภท
อยู่ดีๆ
ก็ชอบทุ่มตัวตกบันไดลงมาซึ่งทั้งห้ามีตรงกันตามที่เจ้าหน้าที่กล่าวอ้างในตอนนั้นไม่
“ท่านได้ฟังและเห็นหลักฐานที่มิอาจบ่ายเบี่ยงเป็นอื่นได้ว่าบันทึกที่จดปากคำผู้ยื่นอุทธรณ์
นั้นได้ถูกปลอมแปลงขึ้นภายหลังโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำการสอบสวน
เราพิสูจน์จนได้ข้อยุติว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบคดีนี้
เมื่อรังแกข่มขู่ลูกความของดิฉันจนรีดเค้นเอาคำสารภาพได้แล้วยัง
มิหนำใจ ก็ถึงกับตกแต่งแก้ไขหลักฐานของตนเองโดยเขียนหน้าต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ในสมุด
บันทึกของพวกเขาขึ้นใหม่หมด”
อัยการ ออกุสตุส
“เพื่อนผู้รอบรู้ของกระผมขอให้เรายอมรับว่ามีข้อสงสัยที่มีเหตุผลว่าผู้ยื่นอุทธรณ์เป็นตัว
การวางระเบิดร้านกาแฟแมวกับแตงจริงหรือไม่ ทว่าท่านผู้พิพากษาที่เคารพ
อะไรหรือคือข้อสงสัยที่
มีเหตุผล? เมื่อไหร่จึงมีเหตุผลที่จะสงสัย? ใครกันที่เรามีเหตุผลจะสงสัย?.....
“ท่านผู้พิพากษาที่เคารพ
กระผมต้องขอถามว่ามีเหตุผลหรือไม่ที่จะสันนิษฐานว่าคนเหล่านี้
มิใช่ผู้ก่ออาชญากรรมอันสยดสยองรายนี้ในเมื่อบัดนี้สิบห้าปีผ่านไป
แทบไม่มีโอกาสเหลือแล้วที่จะ
คนพบตัวผู้ต้องหาเผื่อเลือกรายอื่นมาดำเนินคดี? มีเหตุผลหรือไม่ที่จะล้มเลิกสมมติฐานที่น่าเชื่อใน
สภาพที่ไม่มีสมมติฐานแย้งที่น่าเชื่อใดๆ อยู่เลย? กระผมใคร่ตั้งข้อสังเกตว่าข้อโต้แย้งของผู้อุทธรณ์
ไม่มีเค้ารอยข้อเสนอแนะใดๆ เลยว่าใครล่ะที่อาจเป็นผู้ก่ออาชญากรรมรายนี้
ถ้าหากพวกเขาบริสุทธิ์
จริง?”
ผู้พิพากษาถ้วนเท่ากับ อธิบดีศาลสูง
“จำต้องกล่าวย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่รู้เหนื่อยหน่ายในศาลแห่งนี้ว่าคติบทพื้นฐานของความ
ยุติธรรมแห่งประโยชน์นครคือ ประโยชน์สุขของประชาชนคือกฎหมายสูงสุด
คติบทนี้ประยุกต์ใช้
ได้ดียิ่งกับคำถามเบื้องหน้าเรา เรามีเหตุผลที่จะสงสัยก็ต่อเมื่อประโยชน์สุขของประชาชนเรียกร้อง
ต้องการให้สงสัยเท่านั้น หาไม่แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะสงสัย ก็แล้วประโยชน์สุขโดยรวมจะได้รับการ
ส่งเสริมเพิ่มพูนขึ้นด้วยการสงสัยความเที่ยงตรงต่อสัจจะและซื่อสัตย์สุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
รวมทั้งปรีชาญาณของผู้พิพากษากับคณะลูกขุนของเรากระนั้นหรือ? การปลูกฝังความสงสัยดัง
กล่าวให้เกิดขึ้นจะไปรับใช้ผลประโยชน์ใคร?
“กฎหมายคือกลไกมหึมาเพื่อผลิตสิ่งดีงามในอนาคตขึ้นมาจากเรื่องเลวร้ายในอดีต
โดย
เฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายอาญานั้นมุ่งสนองตอบต่อความอยุติธรรม
อาชญากรรมและการประพฤติผิด
เล็กๆ น้อยๆ
ในอดีตด้วยการประยุกต์ใช้ระบบการลงอาญาที่จำแนกตามความผิดขั้นหนักเบาอย่าง
ละเอียดเพื่อเพิ่มการประพฤติดีในอนาคตให้สูงสุดโดยผ่านการป้องปราม
“หากจะให้กลไกนี้ดำเนินงานด้วยดี มีเงื่อนไขจำเป็นสามประการ ประการแรก
อาชญา-
กรรมต้องถูกลงโทษ ประการที่สอง การลงโทษต้องสาสมกับความผิด ประการที่สาม
ต้องเชื่อกันทั่ว
ไปว่าอาชญากรถูกลงโทษ
ความเชื่อประการสุดท้ายนี้จะปล่อยให้ถูกบ่อนทำลายไม่ได้ไม่ว่าจะต้อง
แลกด้วยอะไร
“ยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่เราต้องเผชิญกับการรณรงค์ก่อการร้ายต่อวิถีชีวิตแบบประ-
โยชน์นครโดยบรรดาพวกต่อต้าน วิถีชีวิตของเราอย่างไม่ลดละเลิกรา
ก็ยิ่งจะต้องยึดหลักประการนี้
ให้มั่นเป็นพิเศษ
พวกที่มีศักยภาพจะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายและอาชญากรจักต้องถูกยับยั้งไว้ด้วย
ความกลัวผลลัพธ์แห่งการกระทำของตน
“ก็แลความสงสัยที่เราได้รับการเชิญชวนให้มีในวันนี้ย่อมจักไม่ปลุกเร้าความกลัวดังกล่าว
ให้หนักหน่วงรุนแรงขึ้น เป็นที่รู้กันว่ามีผู้กล่าวว่าความยุติธรรมควรจะตาบอด
นั่นเป็นเท็จ ความ
ยุติธรรมต้องหูหนวกต่างหาก –
หนวกต่อความสงสัยประดามีที่จะบ่อนทำลายการธำรงความ
ความยุติธรรม.....
“ระบบยุติธรรมของเราทั้งหมดจะดำเนินงานได้ก็ต่อเมื่อทุกคนเชื่อว่ามันดำเนินงานไปด้วยดี
ผู้คิดจะกระทำผิดต้องถูกทำให้เชื่อว่าความผิดที่เขาคิดทำจะไม่คุ้ม
และคนอื่นที่เหลือทุกคนก็ต้องถูก
ทำให้เชื่อว่าผู้คิดจะกระทำผิดเชื่อเช่นนั้น
ด้วยวิธีการนั้นเราก็ลดทอนการละเมิดกฎหมายให้เหลือต่ำ
สุด และเพิ่มทั้งความมั่นคงและความรู้สึกมั่นคงของเราได้สูงสุดด้วย
“ลองดูคดีที่คุณเห็นวันนี้สิ
คำพิพากษาอันเดิมที่ตัดสินลงโทษผู้ยื่นอุทธรณ์ช่วยค้ำจุนความ
เชื่อของทุกคนว่าระบบดำเนินงานไปด้วยดี
คุณอาจจะพูดก็ได้ว่าคำพิพากษาอันหนึ่งช่วยรักษาคำ
พิพากษาอีกอันไว้ ขืนกลับคำพิพากษาอันแรก คุณก็บ่อนทำลายคำพิพากษาอันหลังเท่านั้นเอง”
“ท่านกำลังบอกว่า” นิโคลาสถาม “ถ้าหากคนทั้งห้าบริสุทธิ์
ก็จะต้องบูชายัญพวกเขาเพื่อ
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยังงั้นหรือครับ?”
“แหม
ภาษาของคุณจัดจ้าน ศาสตราจารย์” ผู้พิพากษากล่าว “ถ้าให้ผมพูด ผมจะไม่ใช้คำ
อย่างบูชายัญหรอก อันที่จริงนั่นเป็นแนวคิดที่แทบไม่มีใครเข้าใจในประโยชน์นคร
มันเป็นอุปมา
อุปไมยทางศาสนาที่ตกทอดมาจากอดีต ไม่ค่อยเหมาะสมกับสภาพการณ์ของเราเท่าไรนัก
ผมชอบอุปมาอุปไมยทางเศรษฐกิจหรือการค้ามากกว่า
พูดอย่างนี้เถอะว่าสิ่งที่เราเผชิญวันนี้เป็น
เรื่องของการได้อย่างเสียอย่าง”
นิโคลาสถามยืนเพราะคำถามนี้ยังรบกวนใจเขาอยู่
“แต่สมมตินะครับ”
เขาถามผู้พิพากษา
“ว่านักหนังสือพิมพ์เห็นชายคนหนึ่งอ้างปาว ๆ
อยู่บนหลังคาคุกว่าเขาบริสุทธิ์ เขาควรจะสอบสวน
คำอ้างนั้นหรือเดินหนีไปเสียเฉยๆ ดี?”
“โอ๊ย เดินหนีไปเลย!”
ผู้พิพากษาถ้วนเท่ากับบอก “ช่างหัวมัน
ผมได้รับจดหมายเยอะแยะ
จากคนคุกที่บอกว่าพวกมันถูกพิพากษาผิด ๆ
ผมเกรงว่าผมคงโยนจดหมายพวกนั้นลงตะกร้าเศษ
กระดาษไปหมดแล้ว”
No comments:
Post a Comment