แพทองธาร กับข้อกล่าวหา:
หนีภาษี อิงอำนาจเก่า ขาดเจตจำนง
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านจากพรรคประชาชน กล่าวสรุปการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี "แพทองธาร ชินวัตร" ในวันที่ 25 มีนาคม 2568 โดยชี้ว่านายกฯ ขาดเจตจำนงในการแก้ปัญหาประเทศ มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษีผ่านธุรกรรมอำพราง ร่วมมือกับกลุ่มทุนและอำนาจเก่า ใช้ตัวเลขบิดเบือนหลอกสังคม และไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่สืบเนื่องจากอดีตได้ เขายังตั้งคำถามถึงความรู้ความสามารถและจุดยืนของนายกฯ โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและนโยบายที่ไม่สอดคล้องกับคำสัญญา สุดท้าย เขายืนยันว่าไม่สามารถไว้วางใจให้นายกฯ ดำรงตำแหน่งต่อไปได้
การแยกประเด็นสำคัญ
- ข้อกล่าวหาต่อนายกรัฐมนตรี
- ธุรกรรมอำพรางเพื่อหนีภาษี: ณัฐพงษ์กล่าวหาว่านายกฯ จงใจวางแผนหลีกเลี่ยงภาษี เช่น กรณีภาษีมรดกจากหุ้น ซึ่งหากทุกคนทำแบบเดียวกัน ระบบภาษีของประเทศจะเสียหาย
- อิงแอบกลุ่มทุนและอำนาจเก่า: ชี้ว่านายกฯ มีส่วนใน "ดีลแลกประเทศ" เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุนและอำนาจเก่า โดยยกตัวอย่างการไม่แก้ปัญหาค่าไฟแพงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนพลังงาน
- ขาดเจตจำนงแก้ปัญหา: ตัวอย่างเช่น การไม่บังคับใช้กฎหมายกับบริษัทที่ปล่อยปลาหมอคางดำ หรือไม่แก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 อย่างจริงจัง
- บิดเบือนความจริง: ใช้ตัวเลขที่ดูดี (เช่น จำนวนจุดความร้อนลดลง) เพื่อหลอกประชาชน แม้ข้อมูลจริงจะขัดแย้ง (พื้นที่เผาไหม้เพิ่มขึ้น)
- ประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง
- ณัฐพงษ์มองว่า ความขัดแย้ง 20 ปีที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับทักษิณ ชินวัตร โดยสรุปว่า "20 ปีที่แล้ว ไทยเสียทุกอย่างเพื่อขับทักษิณออก และ 20 ปีต่อมา ไทยกำลังเสียทุกอย่างเพื่อพาทักษิณกลับมา"
- วิจารณ์นายกฯ ที่อ้างตนเป็นเหยื่อการเมืองในฐานะ "ลูกสาวทักษิณ" ทั้งที่ทุกคนในประเทศล้วนเป็นเหยื่อความขัดแย้งนี้
- คำถามถึงเจตจำนงและความสามารถ
- การแก้รัฐธรรมนูญ: วิจารณ์ว่านายกฯ ขาดการกระทำที่สอดคล้องกับคำพูดเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างข้อกฎหมายเป็นเพียงข้ออ้างทางการเมือง
- ภาวะผู้นำ: ชี้ว่านายกฯ ขาดวุฒิภาวะ ฟังน้อยพูดมาก และไม่แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนในการแก้ปัญหาเก่า เช่น สัมปทานทางด่วน ค่าไฟแพง หรือเหมืองทองอัครา
- ตัวอย่างปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข
- ปลาหมอคางดำ: รัฐบาลใช้เงินภาษีแก้ปัญหา แทนที่จะบังคับให้บริษัทที่เป็นต้นเหตุรับผิดชอบ
- ฝุ่น PM 2.5: นายกฯ ใช้ตัวชี้วัดที่ไม่สะท้อนความจริง
- ค่าไฟแพง: ไม่แก้ไขแผนพลังงานที่ผิดพลาด และมีภาพทักษิณเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนพลังงาน
- ที่ดินและธุรกิจ: กรณีที่ดิน Thames Valley และโรงแรมที่อาจไม่ถูกกฎหมาย
- กรณีชั้น 14: คำถามถึงอาการป่วยของทักษิณที่ยังไม่ชัดเจน
- การโต้แย้งจากนายกฯ และการประท้วง
- นายกฯ อ้างว่าฝ่ายค้านใส่ร้ายและใช้เรื่องเก่า แต่ณัฐพงษ์โต้ว่าเรื่องเก่าที่ผิดยังไม่ได้รับการแก้ไข
- สส. รัฐบาล (เช่น เพื่อไทย) ประท้วงว่าณัฐพงษ์ตั้งคำถามใหม่เกินญัตติ แต่ประธานสภาฯ วินิจฉัยให้สรุปได้ โดยไม่เปิดประเด็นใหม่
การวิเคราะห์
- จุดแข็งของการอภิปราย: ณัฐพงษ์ใช้ข้อเท็จจริงและตัวอย่างปัญหา (เช่น ภาษีมรดก ฝุ่น PM 2.5) เพื่อโจมตีความน่าเชื่อถือของนายกฯ และเชื่อมโยงกับประเด็นการเมืองเก่า (ทักษิณ) ทำให้การกล่าวหามีน้ำหนักในแง่การปลุกอารมณ์และชี้ให้เห็นความล้มเหลว
- จุดอ่อน: การกล่าวหาเรื่อง "ดีลแลกประเทศ" และ "ธุรกรรมอำพราง" ยังขาดหลักฐานชัดเจน เป็นการตีความที่อาจถูกมองว่าเป็นวาทกรรมทางการเมืองมากกว่าข้อเท็จจริง ทำให้ฝ่ายรัฐบาลโต้ได้ว่านี่คือการใส่ร้าย
- บริบททางการเมือง: การอภิปรายสะท้อนความแตกแยกที่ยังฝังรากลึก โดยเฉพาะการอ้างถึงทักษิณ ซึ่งเป็นทั้งจุดแข็ง (ดึงอารมณ์ฝ่ายต่อต้าน) และจุดอ่อน (อาจทำให้ฝ่ายสนับสนุนเพื่อไทยไม่พอใจ)
- ปฏิกิริยาของนายกฯ: การที่นายกฯ ไม่อยู่ในห้องประชุมขณะสรุป อาจตีความได้ว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ซึ่งณัฐพงษ์ใช้เป็นจุดโจมตีเพิ่มเติม
ข้อสรุป
ณัฐพงษ์พยายามชี้ว่านายกฯ "แพทองธาร" ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง ด้วยข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน การขาดเจตจำนง และการบริหารที่ไม่โปร่งใส โดยผูกโยงกับอิทธิพลของทักษิณและกลุ่มอำนาจเก่า การอภิปรายนี้เน้นสร้างภาพลักษณ์ว่านายกฯ เป็นผู้นำที่ "หนีความจริง" และ "หลอกสังคม" ซึ่งจะนำไปสู่การลงมติไม่ไว้วางใจในวันที่ 26 มีนาคม 2568 คำถามสำคัญคือ ข้อกล่าวหานี้จะโน้มน้าว สส. ให้เปลี่ยนข้างได้มากน้อยแค่ไหนในบริบทที่พรรคร่วมรัฐบาลยังครองเสียงข้างมาก
No comments:
Post a Comment