บทนำ
ในฐานะคนที่รักและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ฉันมักรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่เห็นภาพของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้นำรัฐประหารที่ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยมาเกือบทศวรรษ หลังจากลงจากอำนาจ เขายังได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรีโดยพระมหากษัตริย์ และที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ แม้จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว กระแสความนิยมในตัวเขายังคงอยู่ ไม่ว่าจะเดินทางไปกระบี่ก็มีคนขอถ่ายรูป เรียกเขาด้วยความรักว่า "ลุงตู่" ความรู้สึกขัดแย้งในใจนี้ทำให้ฉันตั้งคำถามถึงสังคมและวัฒนธรรมการเมืองไทยที่ยังคงยกย่องบุคคลเช่นนี้ บทความนี้จึงเกิดขึ้นจากการพยายามทำความเข้าใจปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่านมุมมองรัฐศาสตร์ เพื่อหาคำตอบและอาจช่วยผ่อนคลายความรู้สึกคับข้องใจของตัวเอง
ประชาธิปไตยแบบผสมในบริบทไทย
การเมืองไทยในยุคปัจจุบันสะท้อนถึงความซับซ้อนที่ไม่อาจตีกรอบได้ด้วยคำจำกัดความเดียว กรณีของพลเอกประยุทธ์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการผสมผสานระหว่างประชาธิปไตยและอำนาจนิยม ซึ่งนักรัฐศาสตร์เรียกว่า "ระบอบผสม" (Hybrid Regime) หรือ "ประชาธิปไตยแบบผสม" (Hybrid Democracy) ระบบนี้มีทั้งการเลือกตั้งและเสรีภาพบางส่วน แต่ก็ยังคงถูกครอบงำด้วยโครงสร้างอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชนอย่างเต็มที่
รากฐานของความนิยม "ลุงตู่"
ความนิยมในตัวพลเอกประยุทธ์ไม่ได้เกิดจากความว่างเปล่า แต่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรม "ผู้นำแบบพ่อ" (Paternalistic Leadership) ที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ภาพลักษณ์ของ "ลุงตู่" ในสายตาคนบางกลุ่มคือผู้เข้ามาจัดระเบียบความโกลาหลทางการเมืองก่อนรัฐประหารปี 2557 และสร้างความมั่นคงให้ประเทศ แม้จะต้องแลกกับการจำกัดเสรีภาพบางประการ ความรักที่ประชาชนบางส่วนมีต่อเขาจึงไม่ใช่การยอมรับประชาธิปไตยในความหมายสากล แต่เป็นการตอบสนองต่อค่านิยมที่ยกย่องผู้นำเข้มแข็ง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเพณีทางการเมืองในภูมิภาคนี้
ความขัดแย้งในใจคนรักประชาธิปไตย
สำหรับผู้ที่ยึดมั่นในประชาธิปไตยแบบเสรี (Liberal Democracy) อย่างฉัน การยกย่องผู้นำที่มาจากการยึดอำนาจและการสืบทอดอิทธิพลผ่านตำแหน่งองคมนตรีนั้นยากจะยอมรับได้ ประชาธิปไตยในอุดมคติควรเน้นการมีส่วนร่วม ความโปร่งใส และการถ่วงดุลอำนาจ ไม่ใช่การให้เกียรติบุคคลที่เคยล้มล้างระบอบเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม หากมองผ่านบริบทประวัติศาสตร์ของไทย ซึ่งเคยผ่านการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และการแทรกแซงของทหารซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปรากฏการณ์นี้ก็อาจไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ แต่เป็นผลจากพัฒนาการทางการเมืองที่ค่อยเป็นค่อยไป
ความหวังท่ามกลางความหลากหลาย
แม้ปรากฏการณ์ "ลุงตู่" จะดูขัดแย้งกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย แต่การที่ยังมีคนตั้งคำถามและไม่ยอมรับวัฒนธรรมแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าการเมืองไทยยังมีชีวิตชีวา ความหลากหลายของมุมมองในสังคม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่รักพลเอกประยุทธ์หรือกลุ่มที่ต่อต้าน ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตย การตื่นตัวของคนรุ่นใหม่และการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงหลังๆ บ่งบอกว่ากระแสต่อต้านอำนาจนิยมยังคงเติบโต และนี่คือแสงสว่างที่จุดประกายความหวัง
บทสรุป
การมอง "ลุงตู่" และความนิยมของเขาผ่านเลนส์รัฐศาสตร์ช่วยให้ฉันเข้าใจว่า สังคมไทยในวันนี้ไม่ได้ล้มเหลวในประชาธิปไตย แต่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ความรักที่บางคนมีต่อพลเอกประยุทธ์สะท้อนถึงค่านิยมและบริบทเฉพาะตัวของเรา ขณะที่ความรู้สึกไม่สบายใจของคนรักประชาธิปไตยอย่างฉันก็เป็นพลังที่ผลักดันให้เกิดการถกเถียงและตรวจสอบต่อไป สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นบทเรียนของระบอบที่ยังต้องเติบโต
ข้อคิดทิ้งท้าย
บางทีการยอมรับความจริงที่ขัดใจอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เพราะตราบใดที่เรายังตั้งคำถามและไม่ยอมจำนนต่อสิ่งที่เราเห็นว่าไม่ถูกต้อง ประชาธิปไตยของไทยก็ยังมีโอกาสเดินหน้าต่อไปได้ คุณและฉัน รวมถึงคนอื่นๆ ที่ฝันถึงสังคมที่ดีกว่า คือส่วนหนึ่งของเส้นทางนั้น
No comments:
Post a Comment