Tuesday, August 5, 2014

การศึกษาสำหรับผู้ถูกครอบงำ


ผมตั้งชื่อบล็อคนี้ว่า การศึกษาสำหรับผู้ถูกครอบงำ เพราะต้องการจะให้สอดคล้องไปด้วยกันกับงานของ เปาโล แฟรร์ เจ้าของผลงานที่ชื่อว่า การศึกษาการสำหรับผู้ถูกกดขี่ (อ่านหนังสือเล่มดังกล่าวได้ ที่นี่)
เหตุที่ผมเปลี่ยนจากคำว่า ผู้ถูกกดขี่ --> มาเป็น ผู้ถูกครอบงำ ก็เพื่อที่จะให้เข้ากับบริบทสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์การปกครองของไทยที่เป็นอยู่ในเวลานี้ซึ่งบอกได้เลยว่า ไม่ใช่ประชาธิปไตย แต่นี้คือรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการทหาร ขณะที่ผู้คนจำนวนหนึ่งซึ่งพึงพอใจและสนับสนุนรูปแบบการปกครองดังกล่าวนี้ ด้วยหวังว่ารูปแบบการปกครองดังกล่าวจะแก้ปัญหาต่างๆ ที่สั่งสมมาตั้งแต่อดีตซึ่งก็คือ รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยที่ลุ่มๆ ดอนๆ เพราะถูกบอนไซอยู่บ่อยครั้งโดยฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ ประชาธิปไตยแบบนี้ในภาษานักวิชาการมักเรียกว่า ประชาธิปไตยไร้เสรี บ้างก็เรียกว่าประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยมดังกรณีสมัยทักษิณ เป็นต้น
สำหรับคนที่ชื่นชอบหรือสนับสนุนรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการทหารที่เป็นอยู่นี้ บอกได้เลยว่า นี่คือการกดขี่รูปแบบหนึ่งซึ่งมาแบบเนียนๆ ในรูปของการครอบงำ (domination) โดยที่ตัวท่านเองนั่นแหละรู้สึกเต็มใจกับการครอบงำนี้ ทั้งๆ ที่เป็นรูปแบบการปกครองที่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีของตัวท่านเองแท้ๆ แต่ท่านก็ยอมเพราะตัวท่านเองเป็นผลผลิตจากการครอบงำ
ครอบงำยังไง? นะเหรอครับ
รูปแบบการปกครองแบบเผด็จการโดยทหารนี้ เป็นแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง หากมองให้ออกก็ต้องย้อนกลับไปดูอย่างมีมิติทางประวัติศาสตร์ ผ่านกาลเวลาอันยาวนาน
ท่านคงจะทราบอยู่ว่า เผด็จการโดยทหารนี้เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลจากการเลือกตั้งแน่นอนว่ารัฐบาลจากการเลือกตั้งย่อมอ้างอำนาจและความชอบธรรมจากเสียงข้างมากอันเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของประชาธิปไตย
แม้ว่าประชาธิปไตยโดยรัฐบาลจากการเลือกตั้งจะเลวร้ายยังไง ท่านก็คงรู้ดีว่ายังไง ยังไงมันก็คือประชาธิปไตย จริงไหม? แม้ว่าท่านจะอ้างได้ว่าก็นี่มันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ขอบอกในทีนี้ไว้เลยนะครับ ไม่มีหรอกครับประชาธิปตง ธิปไตยที่สมบูรณ์อะไรนั่น มันไม่เคยมี เป็นแค่เพียงข้ออ้างเท่านั้นเอง
อย่างที่บอกว่า เผด็จการโดยทหารซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับฝั่งประชาธิปไตยที่ปกครองประเทศอยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ไม่มีที่มา ที่มาและความชอบธรรมแบบเผด็จการนี้มาจากความคิดและแรงงสนับสนุนจากตัวท่านซึ่งเป็นผลผลิตของการครอบงำโดยการศึกษาของรัฐไทยมานานแสนนาน (ตัวผมเองก็เคยเป็น แต่พอหลุดจากการครอบงำดังกล่าว ผมก็ประกาศเลยว่า ผมเหมือนหอยไม่มีเปลือก)
ทีวีทุกช่องบอกได้เลยว่า หลักๆ แล้วต่างเป็นเครื่องมือของเผด็จการ เสียงเพลงชาติและเนื้อหาที่อยู่ในนั้นก็ถูกเขียนขึ้นโดยฝ่ายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประชาธิปไตย วันหยุดจำนวนมากในรอบ 365 วันนี่ก็ใช่ หนังสือพิมพ์จำนวนมากซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์กระแสหลักก็ใช่ สถาบันการศึกษา ชื่อถนน ชื่อสถานที่สำคัญๆ ต่างเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองและการครอบงำทั้งสิ้น นักวิชาการเรียกการครอบงำเหล่านี้ว่าเป็น "ระบอบของความจริง" (truth regime of truth) หรือ "การประกอบสร้างความจริงทางสังคม" (social construction of reality)
สมมติง่ายๆ ท่านลองเปิดฟังเสียงลำธารนี้ดู (ฟังสักพักก่อน ก่อนที่จะอ่านเนื้อหาที่ผมจะเขียนถัดไป)
เมื่อเราฟังเสียงและชมภาพ อำนาจของเสียงและภาพจะทำให้จิตใจเราดำดิ่งลงสู่ความสงบ นี่แค่เสียงและภาพธรรมชาติยังมีพลังได้ขนาดนี้
จากนั้นให้ท่านลองจินตนาการถึง เสียงและภาพที่ผ่านหน้าจอทีวีที่ท่านเปิดดูทุกวี่วัน โฆษณาเอย ละครที่เปิดอยู่ทุกเวลา หนังจักรๆ วงศ์ๆ ในตอนเช้าวันเสาร์ - อาทิตย์ เพลงชาติเช้า-เย็น ข่าวตอนค่ำ ภาพยนตร์ที่ลงทุนสร้างอย่างยิ่งใหญ่อลังการ เพลงประจำสถาบัน ของเหล่านี้มีพลังอำนาจต่อจิตใจมนุษย์อย่างเราๆ ท่านๆ อย่างมหาศาล และของเหล่านี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาอย่างลอยๆ แต่มันถูกผลิตสร้างขึ้นมาอย่างมี "จุดมุ่งหมาย" ทำให้ "ตัวตน" (the self) ของท่านอยู่ฝากฝั่งใดฝากฝั่งหนึ่งในทางการเมือง (อ่านที่นี่)
หากนิยามว่า การศึกษาไม่ใช่การอบรมสั่งสอนและการให้ความรู้ที่จำกัดอยู่แต่ในห้องเรียน แต่ลองนิยามว่า การศึกษาปรากฏอยู่ได้ในทุกที่ตั้งแต่ทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ นโยบายของรัฐ แบบเรียน หลักสูตรต่างๆ เราๆ ท่านๆ ทั้งหมดก็ล้วนถูกครอบงำโดยการครอบงำนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เราสนับสนุนฝากฝั่งใดฝากฝั่งหนึ่งในทางการเมือง กระบวนการนี้กระทำกันมานาน มีลักษณะไม่ต่างไปจากก้อนภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้น้ำและไม่อาจมองเห็นได้ชัด
และแน่นอน สำหรับสังคมไทย การศึกษาแทบทั้งหมดที่เป็นกระแสหลักต่างล้วนเป็นเครื่องมือของเผด็จการมานานแล้ว และท่านก็เป็นผลผลิตของมันในฐานะผู้ที่ถูกครอบงำนั่นเอง 

No comments:

Post a Comment